วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

จากขุนรองถึงฮิตเลอร์

                 ด้วยความง่วงและเพลียเกินกว่าจะอ่านหนังสือรู้เรื่อง เมื่อวาน (๒๘ กันยายน) ก็เลยวางหนังสือทั้งที่อยากอ่านใจจะขาด เพราะเพิ่งซื้อมา คือ กรุงแตก พระเจ้าตากฯ ของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ดังนั้น เพื่อไม่ให้เวลาล่วงเลยไปอย่างน่าเสียดายก่อนที่บอลจะมา ก็เลยหาคลิปรายการขุนรองปลัดชูที่มีคนมานั่งล้อมวงคุยกันมาดู ดูไปก็คิดตามไป บางทีก็กลัวๆบางฉาก เพราะเลือดสาดพอควร แถมยังต้องมาจ้องหน้าขุนรองตอนพะงาบๆเลือดเต็มหน้าในทะเลอีกต่างหาก ดูแล้วก็สยองมิใช่น้อย


                แต่สิ่งหนึ่งที่นึกๆดูจากความเลือดสาด และคับแค้นใจของคนชาติไทยที่ถูกพม่าหยามเหยียดก็คือ เหตุใดเรื่องในประวัติศาสตร์ที่ปวดร้าวเช่นนี้จึงยังคงนำมาสร้างเป็นสื่อที่เผยแพร่ได้เช่นนี้ ผิดกับเรื่องที่ผ่านมาในหน้าข่าวไม่กี่วันนี้ คือ เด็กนักเรียนแต่งตัวเป็นนาซี จนกงสุลหลายประเทศต้องวิ่งวุ่น

                นี่อาจเป็นผลจากความแตกต่างทางความทรงจำ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนหรือแม้แต่ทุกประเทศจะมีประสบการณ์แบบเดียวกัน และแน่นอนว่าย่อมนำไปสู่ความรู้สึกต่อสิ่งหนึ่งๆ เหตุการณ์หนึ่งๆ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อรวมกับวัฒนธรรมแบบไทยๆที่ไม่ได้ใส่ใจเอาความอะไรมากมาย จึงออกมาแบบที่เห็น

                ชาวยิวเพิ่งผ่านประสบการณ์น่าหวาดกลัวอย่างสูงสุดมาได้ประมาณ -๒ ชั่วคนเท่านั้น จากการถูกจองเวรฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยเยอรมนีที่อยู่ภายใต้การนำของพรรคนาซี และมีผู้นำที่ชื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ แน่นอน นอกจากชาวยิวจะปวดร้าวกับเรื่องเช่นนี้ ชาวเยอรมันซึ่งต้องถูกตราหน้าว่าเป็นต้นเหตุหรือผู้กระทำการอันโหดร้ายนั้นก็ไม่ต้องการให้เรื่องนี้ถูกปลุกขึ้นมาอีกเช่นกัน ขณะที่ประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะในองค์การระหว่างประเทศ ก็ไม่อยากให้เรื่องพวกนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเช่นกัน เพราะช่วงเวลามหาสงครามไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำเอาเสียเลย อย่างมากเรื่องของนาซีก็ถูกนำมาทำในรูปแบบสารคดีนำเสนอความเป็นจริงเพื่อเตือนสติและเตือนใจผู้คนทั้งหลายถึงความโหดร้ายเท่านั้น  ส่วนเรื่องบันเทิงเริงใจกับเรื่องพวกนี้คงไม่อาจรับได้สักเท่าไรและคงไม่มีใครคิดจะทำ

                ส่วนสยามถูกพม่าบุกถล่มเมือง ทำลายล้างกรุงศรีอยุธยา เมืองราชธานีเมื่อ ๒๔๐ กว่าปีก่อน เผาวัดเผาวัง ฆ่าฟันคนสยามมากมาย บ้านเมืองล่มสลายลงโดยสิ้นเชิง แต่เรื่องราวสงครามเมียนมาร์-สยามยุทธ์ก็ยังถูกนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบต่างๆ ทั้งเพื่อลัทธิชาตินิยม หรือเพื่อศึกษา หรือเพื่อเตือนใจก็แล้วแต่ รวมทั้งเพื่อความบันเทิง โดยไม่มีการต่อต้าน เช่น ภาพยนตร์หรือละครทวิภพ หรือแม้แต่ขุนรองปลัดชูนี้ที่สะท้อนความโหดร้ายของพม่าต่อฝ่ายสยามอย่างสูงในคราวศึกอลองพญา นอกจากนี้ เรื่องความยิ่งใหญ่สงครามเมียนมาร์-สยามยุทธ์ของฝ่ายสยามจะยิ่งเป็นที่นิยมอย่างมากของคนไทย โดยเฉพาะภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งก็สะท้อนความโหดร้ายของสงครามได้ไม่แพ้กัน

                จะเห็นได้ว่า แม้แต่การสงครามกับพม่าหลายต่อหลายครั้ง ไปจนถึงสงครามที่สร้างความป่นปี้ให้กับอดีตเมืองหลวงของชาติตนเอง ชาวสยามก็มิได้กังวลแต่อย่างใดกับการผลิตซ้ำเหตุการณ์เหล่านี้ มิหนำซ้ำยังดูจะพอใจที่ได้ยลสื่อที่ผลิตมาเหล่านี้ ดังนั้น มิพักต้องพูดถึงเหตุการณ์ที่ไม่ไกลตัวมากอย่างการข่มเหงจีนของญี่ปุ่น หรือการกดขี่เชลยศึกมาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควก็ยังไม่ได้สะเทือนความรู้สึกคนไทยมากมายอะไร ดังนั้น เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ไปเกิดอยู่ที่ยุโรปนู่น คงไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าคนไทยจะรู้สึกอะไรหรือไม่

                การสงครามที่ถูกระบุว่าไม่มีความชอบธรรมมี ๒ แบบ คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กับการก่อการร้าย ซึ่งก็ไม่มีผลอะไรต่อคนไทยอีกเช่นกัน เพราะแทบไม่มีคนไทยคนไหนรู้ว่ามันไม่ชอบธรรม ชายแดนใต้ก็มีการวางระเบิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่รัฐบาลไทยก็ดูปกติสุขดี จนคนไทยไม่รู้สึกอะไรไปด้วย ยิ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะไกลตัวเสียเหลือเกิน นอกจากนี้ การกำหนดความไม่ชอบธรรมก็เป็นเรื่องมาตรฐานของฝรั่งอีกเช่นเคย (แม้มันจะควรเป็นเช่นนั้นก็ตาม)

                ดังนั้น การจะมาเรียกร้องให้ไทยจัดการเรียนการสอนประวัติศาสตร์สากลให้ดีกว่านี้ก็คงไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา เพราะมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคนแต่ละชาติซึ่งมีผลต่อความรู้สึกต่อสิ่งที่พบเจอนั้นๆ ต่อให้รับรู้เรื่องราวเสียมากมาย ก็ไม่อาจกระตุ้นความรู้สึกเกี่ยวข้องอะไรกับคนไทยแม้จะมีสถานะความเป็นมนุษย์ร่วมโลกกันก็ตาม แต่มันไม่ได้ประสบกับตัวเอง

นอกจากนี้ ฮิตเลอร์ยังไม่ใช่จอมเผด็จการที่น่าประหวั่นพรั่นพรึง เพราะฮิตเอลร์ในสังคมไทยมีสถานะที่ดูให้ความบันเทิง เช่น ปรากฏการตัดต่อคลิปภาพฮิตเลอร์กับเสียงอื่นที่ให้ความบันเทิง หรือใส่ซับไทยที่ดูตลกโปกฮา ส่วนวงดนตรีเด็กแนวอย่างเสลอ (Slur) ก็เอาชื่อฮิตเลอร์ไปทำเป็นเพลง หรือบางที ฮิตเลอร์ก็ดูจะเป็นฮีโร่ตัวหนึ่งเสียด้วยซ้ำที่ดูเท่ห์ มีอำนาจ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับแนวคิดอำนาจนิยมที่แฝงอยู่ในความคิดคนไทยก็ได้

แต่สรุปแล้ว นั่นคือความเป็นจริงที่ฝรั่งไม่เข้าใจ เช่นเดียวกับที่ฝรั่งก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผ้าลายพระพุทธเจ้าถึงเอาไปทำบีกีนี่ไม่ได้ในสายตาคนไทยพุทธบางคน นั่นคือความรู้สึกต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่มีวันเหมือนกันได้ทั้งโลกทั้งในวันนี้และ "anytime" และนี่คือสิ่งหนึ่งที่คิดได้ระหว่างดูขุนรองปลัดชูเมื่อคืนวาน

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

บทคัดย่อบางบทความเกี่ยวกับภูฏาน (แปล)

ภูฏาน (Bhutan) เป็นประเทศที่หลายคนหลงใหลใฝ่ฝันจะไปเยือนสักครั้ง ด้วยภูมิประเทศที่ทอดตัวตามแนวเทือกเขาหิมาลัย มีวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ขณะที่หลายคนยังตรึงตากับภาพเจ้าชายหนุ่ม จิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก ซึ่งวันนี้ได้ก้าวขึ้นสวมบทประมุขตัวจริงของประเทศไปแล้ว 


ภาพจาก http://dxing.at-communication.com/en/a5_bhutan/ 
วัดบนผาสูงเช่นนี้ปรากฏอยู่ทั่วไปในภูฏาน
สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก ส่งต่อตำแหน่งแก่เจ้าชายจิกมี เคซาร์ นัมเกล วังชุก
ภาพจาก http://www.boston.com/bigpicture/2008/11/bhutan_crowns_a_new_king.html

อย่างไรก็ดี ภูฏานในรอบครึ่งทศวรรษที่ผ่านมากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่สิ่งใหม่ๆหลายอย่าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองหลังการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในปี 2008

บรรยากาศการติดป้ายก่อนการเลือกตั้งสาธิต (mock election) ปี 2007 ก่อนเลือกจริงๆในปี 2008
ภาพจาก http://www.theage.com.au/news/world/poll-may-make-bhutan-grossly-nationally-unhappy/2007/04/27/1177459979137.html 

การพัฒนาย่อมนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ภูฏานพยายามเปลี่ยนอย่างยั่งยืนและเป็นตัวของตัวเอง อันเนื่องมาจากตัวอย่างการพัฒนาของหลายๆประเทศที่ดูไม่น่าเดินตามสักเท่าไร ซึ่งเห็นได้ชัดจากแนวคิด GNH: Gross National Happiness หรือความสุขมวลรวมประชาชาติ ที่ถูกนำมาใช้แทน GDP หรือ GNP อย่างไรก็ดี ยังคงเป็นคำถามตามมาเสมอว่า ประเทศเล็กๆแห่งหุบเขาหิมาลัยจะสามารถก้าวไปยังจุดที่ตนต้องการได้หรือไม่ในกระแสโลกที่เชี่ยวกราก ซึ่งคำตอบคงไม่เกิดขึ้นในวันสองวัน หรือปีสองปีนี้เป็นแน่


การศึกษาเกี่ยวกับภูฏานในปัจจุบันมีมากขึ้น ทั้งโดยนักวิชาการในและต่างประเทศ แม้จะยังคงมีการคัดกรอง (censor) ภายในประเทศอยู่ก็ตาม ผู้เขียนได้แปลบทคัดย่อบางบทความที่น่าสนใจมาลงไว้ ความจริงอยากอ่านบทความเต็มๆ แต่ด้วยข้อจำกัดในการเข้าถึงจึงทำได้เพียงอ่านและแปลบทคัดย่อ ซึ่งน่าจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ต่อประเทศนี้ได้บ้าง



เนปาลและภูฏานในปี 2009: งานหนักในการเปลี่ยนผ่าน
มาเฮนทรา ลาโวติ (Mahendra Lawoti)

บทคัดย่อ

การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยในเนปาลและภูฏาน เดินหน้าสู่ความท้าทายมากมายในปี 2009 ทั้งการรวมตัวของกองกำลังลัทธิเหมา (Maoist combatants) การแบ่งขั้วของเหล่าพรรคการเมือง การเรียกร้อง (assertion) ของกลุ่มชาติพันธุ์ที่เพิ่มขึ้น และกองกำลังติดอาวุธที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ได้ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญและการมุ่งสู่ความมีเสถยีรภาพทางการเมืองล่าช้าออกไป ส่วนในภูฏาน การเรียกร้องสิทธิ์ทางสังคมต่อการจำกัดสิทธิ์และการเลือกปฏิบัติก็ได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน

Lawoti, Mahendra, ‘Nepal and Bhutan in 2009: Transition Travails?’, Asian Survey 50, 1 (2010), 164-72.



ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ภูฏาน: ภายใต้ม่านเงาของมิตรภาพอินเดีย-ภูฏาน
พรานาฟ คูมาร์ (Kumar, Pranav) 


ภูฏานอยู่ระหว่างสองมหาอำนาจเอเชียอย่างอินเดียและจีน ซึ่งภูฏานต้องจัดการรับมือให้ดี
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Bhutan_%E2%80%93_People's_Republic_of_China_relations
บทคัดย่อ

ในอดีต ปฏิสัมพันธ์ระหว่างภูฏานและจีนนั้นกระทำผ่านทิเบต แต่การเข้ายึดครองทิเบตของจีนและการลุกฮือในทิเบตทำให้ความหวั่นกลัวแทรกซึมเข้าสู่ภูฏาน อันเป็นเหตุให้ต้องปิดพรมแดนทางเหนือในปี 1960 อย่างไรก็ดี ภูฏานได้ปรับมาใช้นโยบายที่เปิดมากขึ้นในทศวรรษ 1970 และค่อยๆเพิ่มการติดต่อระหว่างเพื่อนบ้านทั้งสอง (ภูฏานและจีน - ผู้แปล) การพูดคุยเรื่องพรมแดนซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1984 มีผลให้เกิดข้อตกลง (agreement) ในปี 1998  เพื่อคงไว้ซึ่งสันติภาพและความสงบสุขตามแนวชายแดน ขณะที่จีนและภูฏานไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตหรือการค้าตามกฎหมาย (legal trade) แต่ความสนใจของจีนต่อภูมิภาคเอเชียใต้รวมทั้งภูฏานก็ได้เติบโตขึ้น ดังนั้น ภูฏานจึงเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก (dilemma) ในการไม่ทำให้กระทบความสนใจและความรู้สึก (sentiments) ของเพื่อนดั้งเดิมอย่างอินเดีย ขณะที่ในเวลาเดียวกันก็ต้องตอบสนองต่อการติดต่อและการแก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติและเร่งด่วนกับจีน ในความสัมพันธ์ระหว่างจีนและภูฏาน (Sino-Bhutanese relationship) ปัจจัยจากอินเดียยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุด พลวัต (dynamics) ของความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียและความสนใจและการดำเนินการทางยุทธศาสตร์ของอินเดียและจีนในบริเวณเทือกเขาหิมาลัยจะเป็นส่วนสำคัญมากต่อการร่างนโยบายต่างๆของภูฏานต่อจีน

Kumar Pranav, ‘Sino-Bhutanese Relations: Under the Shadow of India–Bhutan Friendship’, China Report 46, 3 (2010), 243-52.





ระบบคุณค่าทางพุทธศาสนา เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม: การวิเคราะห์แบบพหุระดับของความพยายามพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูฏาน
เจเรมี เอส. บรู๊คส์ (Brooks, Jeremy S.)


บทคัดย่อ


แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์มักปฏิเสธผลกระทบต่างๆของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจต่อวัฒนธรรมดั้งเดิม ขณะที่นักวิจัยบางคนชี้ว่าการพัฒนาช่วยให้ระบบคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม (environmental values) ดีขึ้น แต่ (นักวิจัย) คนอื่นๆยังคงยืนยันว่ามันคุกคามความเชื่อดั้งเดิมและบรรทัดฐาน (norms) ซึ่งโอบอุ้มความนับถือต่อสิ่งแวดล้อม ในบทความนี้ ผม (ผู้เขียนบทความ) พบว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจ ศาสนา และบรรทัดฐานในชุมชนเชื่อมโยงกับคุณค่าทางสิ่งแวดล้อมอย่างไรใน 13 หมู่บ้าน ใน 3 ชุมชน ในภูฏาน การใช้การวิเคราะห์ทางสถิติการถดถอยโลจิสติกแบบพหุระดับ (multilevel logistic regression) วิเคราะห์ 4 ปัญหาเกี่ยวกับระบบคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม และพบว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจมากกว่าที่จะเป็นปัจจัยทางศาสนาที่เป็นตัวชี้นำที่เหนือกว่า (หรือมีผลมากกว่า ผู้แปล) ต่อคุณค่าทางสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นการสนับสนุนแนวคิด “การอนุรักษ์และการพัฒนา” และมากไปกว่านั้น  บรรทัดฐานของชุมชนดั้งเดิมได้แสดงให้เห็นความสัมพันธ์เล็กน้อยกับระบบคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี บรรทัดฐานต่อสิ่งแวดล้อมในระดับชาติซึ่งเป็นผลจากความพยายามของรัฐบาลและบางส่วนวางอยู่บนพื้นฐานของหลักพุทธศาสนาอาจกำลังถูกทำให้ปรากฏออกมา แม้ว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจจะสำคัญอย่างชัดเจน แต่แนวคิดการพัฒนาของภูฏานชี้ให้เห็นฉันทามติในแนวดิ่ง (top-down commitment) ต่อสิ่งแวดล้อมที่แสดงออกด้วย (couched in) คำสอนทางศาสนาอาจช่วยสนับสนุนระบบคุณค่าต่อสิ่งแวดล้อมด้วย


Brooks, Jeremy S., ‘Buddhism, Economics, and Environmental Values: A Multilevel Analysis of Sustainable Development Efforts in Bhutan’, Society & Natural Resources: An International Journal 24, 7 (2010), 637-55.

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

ศิลป์ พีระศรี บทสวดมนต์ แลการให้ความสำคัญกับรากภาษาไทย


                วันที่ ๑๕ กันยายน เป็นวันคล้ายวันเกิดอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ในเว็บไซต์ Facebook โดยเฉพาะของสมาชิกที่มีความเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยศิลปากรจะมีคำแสดงความอาลัยหา สดุดียกย่อง ฯลฯ

รูปวาดเหมือน อาจารย์ศิลป์ พีระศรี
ภาพจาก http://www.snr.ac.th/wita/Music/Corrado_day.htm 

                สิ่งที่น่าคิด คือ อะไรเป็นเหตุให้เขาเหล่านั้นบางคน (ย้ำว่าบางคน) แสดงออกในลักษณะนี้ เหตุเพราะคุณงามความดีของชายชื่อ ศิลป์ พีระศรี นั้นได้เข้าไปอยู่ในความรับรู้ของคนเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด บางคนไม่เคยรับรู้อะไรนอกไปจาก ศิลป์ พีระศรี คือ บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่ของไทย หรือเป็นผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร หากแต่ผลงานคืออะไรไม่ทราบ หรือมีคุณอย่างไรบอกไม่ถูก


                นั่นคือการใช้อารมณ์ความรู้สึกแบบโหนกระแส ต้องทำตามคนอื่นให้ได้ แม้จะไม่รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร มันไม่ต่างอะไรไปจากการมองสิ่งสวยงามในที่ที่มองไม่เห็นแต่บอกว่าสวย และอีกอย่างที่น่าเปรียบเทียบ คือ บทสวดมนต์

                สิ่งที่เหมือนกันเสียเหลือเกิน คือ จะมีสักกี่คนที่เข้าใจบทสวดมนต์ที่เป็นภาษามคธ (บาลี) แต่ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็ท่องจำและพร่ำสวดภาวนาอย่างไร้จุดหมาย การพร่ำสวดมนต์โดยไม่รู้ความหมายของบทสวดก็ไม่ต่างอะไรกับการยกย่องบุคคลโดยไม่รู้ถึงคุณของเขาหรือเธอ

                ใครจะปฏิเสธได้ว่าการถือศาสนาในปัจจุบันเกิดจากประเพณีนิยมเป็นใหญ่ คือ เขาถือกันมา พ่อแม่ปู่ย่าตายายถือกันมา ก็ถือบ้างจะเป็นไร แต่ไม่ได้ทราบถึงความดีงามแห่งศาสนานั้นๆ เขาเหล่านั้นถือศาสนาโดยไม่รู้ว่าศาสนานั้นมีคุณอย่างไร (ที่มากกว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี ขณะที่บางศาสนาที่มีการศึกษาศาสนาอย่างดีและมีระบบการศึกษาศาสนากลับถูกรัฐต่อต้านในฐานรบกวนความมั่นคง

                มาถึงจุดนี้ ขอชมเชยโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส เนื่องด้วยมีการนำเสนอคุณความดีของชายชื่อ ศิลป์ พีระศรี ให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นหนทางให้คนที่ไม่รู้และอยากรู้ได้รู้ ซึ่งจะนำไปสู่การสดุดียกย่องอย่างมีเหตุ หรือผู้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยศิลปากรที่เข้าถึงเรื่องพวกนี้ได้ยาก ดังนั้น การนำเสนอของโทรทัศน์ช่องนี้จึงเปรียบเสมือนแสงสว่างที่ทำให้ผู้อยากเห็นหรือไม่เคยเห็นสิ่งสวยงามที่ความมืดบดบังได้เห็นสิ่งสวยงามนั้นสักที แต่บางครั้ง ถ้าสิ่งที่ซ่อนในความมืดมัวนั้นเป็นสิ่งไม่งามเสียบ้างก็ดี เพราะการชื่นชมควรอยู่บนฐานของความเป็นมนุษย์

                ส่วนเรื่องบทสวดมนต์ ขอเสนอดังนี้ว่า ระบบการศึกษาควรหันไปหาภาษาที่ภาษาไทยได้รับอิทธิพลให้มากกว่านี้ ไม่ใช่สักแต่ อิงลิช ไชนิส เจแปนนิส โคเรียน ทำไมไม่ แขมร์ ลาว มคธ (บาลี) สันสกฤต บ้าง เพราะรากภาษาไทยมิใช่มาจากกอไผ่ (ถึงมีก็คงน้อย) แต่มาจากภาษาใกล้ตัวเหล่านี้ทั้งสิ้น การด่ากราดเด็กว่าเขียนผิดเขียนถูก มันก็เหมือนการด่าไอ้แดงที่ไปวิ่งแข่งกับนักวิ่งทีมชาติ เพราะมันไม่มีพื้นฐานแล้วมันจะทำได้ดีได้อย่างไร ศัพท์ภาษาไทยที่สละสลวยต่างก็มาจากภาษาสันสกฤตและมคธเป็นส่วนใหญ่ แต่การเรียนการสอนไม่ได้ให้ความสำคัญเท่าที่ควรเลย ดังนั้น หากหวังให้เด็กไทยใช้ภาษาไทยได้ดี การเรียนรากของภาษาจึงเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนการเรียนภาษาละตินเพื่อรู้รากภาษาอังกฤษอย่างลึกซึ้ง และที่สำคัญ บทสวดมนต์ก็จะได้เข้าไปอยู่ในใจคนถือศาสนาอย่างรู้ความหมายเสียที

วันพฤหัสบดีที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2554

พระมหากษัตริย์ไทยกับการตัดและตั้งศักราช

หลายคนโดยเฉพาะนักศึกษาประวัติศาสตร์และผู้สนใจประวัติศาสตร์คงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ที่เกี่ยวข้องกับศักราชมาบ้าง เช่น ตัด ลบ ตั้ง (ศักราช) คำอธิบายอย่างง่ายๆสำหรับคำเหล่านี้อาจกล่าวโดยเชื่อมโยงกันได้ คือ "ตัด" และ "ลบ" ศักราชนั้น มีความหมายเดียวกัน คือ หยุดใช้ศักราชที่ใช้อยู่ หรือแก้ไขศักราชที่ใช้อยู่ให้ต่างๆไปจากเดิม แต่ส่วนใหญ่ (ซึ่งมีในประวัติศาสตร์ไม่กี่ครั้ง) จะหยุดใช้ศักราชเดิมแล้ว "ตั้ง" ศักราชใหม่ขึ้นมา การตัดศักราชนั้นเกิดจาก ๒ สาเหตุใหญ่ คือ ๑. กษัตริย์ในบางประเทศ โดยเฉพาะอินเดียและจีน ทรงตัดศักราชเก่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัชศกก่อนหน้า คือ ศักราชประจำรัชกาลก่อน เช่น เมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อขึ้นครองราชย์ ก็จะตัดศักราชของจักรพรรดิพระองค์ก่อน แล้วเริ่มใช้ศักราชเป็น ปีที่ ๑ แห่งรัชศกหย่งเล่อ เป็นต้น ซึ่งศักราชที่ตั้งใหม่ในปีเริ่มครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์นั้นๆ หากศักราชของพระองค์ถูกใช้อย่างแพร่หลายก็จะถูกใช้สืบๆกันมา เช่น จุลศักราช มหาศักราช เป็นต้น ๒. ความเชื่อทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อเรื่อง "ปัญจอันตราธาน" ที่ความเสื่อมจะมาเยือนมากขึ้นเรื่อยๆทุก ๑,๐๐๐ ปี ดังนั้น เมื่อศักราชเข้าใกล้จำนวนเต็มพัน เช่น ๑,๐๐๐ ๒,๐๐๐ ... ๕,๐๐๐ ใกล้เข้ามา กษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ก็จะแก้ปัญหาด้วยการตัดศักราช คือ เลิกใช้ศักราชนั้นเสียแล้วอาจนำศักราชอื่นมาใช้แทน แต่มักไม่ตั้งศักราชใหม่ในกรณีนี้ หรือบางครั้งอาจแก้ไขบางส่วนเกี่ยวกับระบบปฏิทิน (ดูในส่วน วิเคราะห์กรณีสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง)  


ในประวัติศาสตร์ไทย กรณีของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง (ครองราชย์ พ..๒๑๗๒-๒๑๙๙) มีการระบุไว้ในพระราชพงศาวดารอย่างชัดเจน และยังมีวรรณกรรมสรรเสริญพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย[๑] ข้อความในพระราชพงศาวดารที่กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าปราสาททองตัดศักราช เช่น ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ระบุว่า


“ลุศักราช ๑๐๐๐ ปีขาล สัมฤทธิศก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสปรึกษาแก่เสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตทั้งหลายว่า บัดนี้จุลศักราชถ้วน ๑๐๐๐ ปี กาลกลียุค จะบังเกิดไปภายหน้าทั่วประเทศธานีใหญ่น้อยเป็นอันมาก เราคิดว่า จะเสี่ยงบารมีลบศักราช บัดนี้ ขาลสัมฤทธิศก จะเอากุนเป็นสัมฤทธิศก ให้กรุงประเทศธานีนิคม ชนบททั้งปวงเป็นสุขไพศาลสมบูรณ์ดุจทวาบรยุค”[๒]

จะเห็นได้ว่า กรณีสมเด็จพระเจ้าปราสาททองตัดศักราชนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาเรื่อง "ปัญจอันตราธาน" เพราะทรงตัดศักราชในปีที่จุลศักราชครบถ้วนพัน 


นอกจากนี้ ยังมีเรื่องในพระราชพงศาวดารที่แสดงว่าพระองค์น่าจะตั้งศักราชใหม่จริง คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงแจ้งให้พระเจ้ากรุงอังวะทราบและใช้ศักราชที่ตั้งใหม่ด้วย แต่ในจุลศักราช ๑๐๐๒ พม่าได้ส่งทูตมาแจ้งว่าไม่ยินดีใช้ ให้ทางกรุงศรีอยุธยาใช้ไปฝ่ายเดียว จนสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่พอพระทัย[๓]

อีกกรณีหนึ่งที่ว่ากันว่าพระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงตัดศักราช คือ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือพระยาลือไท แห่งแคว้นสุโขทัย (ครองราชย์ประมาณ พ..๑๘๙๐-๑๙๑๑) ที่มาของความเชื่อว่าพระองค์ตัดศักราชมีหลายทาง

ที่มาแรก มีตำนานเรื่องหนึ่งในหนังสือ “พงศาวดารเหนือ” เล่าถึงพระร่วงอรุณราชกุมารได้เรียกชุมนุมท้าวพระยามหากษัตริย์ของแคว้นต่างๆเพื่อตั้งศักราชใหม่ ที่มาที่สอง คัมภีร์ “ไตรภูมิพระร่วง” หรือ “ไตรภูมิกถา” มีข้อความในปัจฉิมวากษ์ระบุศักราช ๒๓ ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีการตั้งศักราชใหม่ ดังนี้


“แต่นี้ใส่ไตรภูมิกถาเมื่อใดไส้ ปีรกาสักราชได้ ๒๓ ได้ในเดือน ๑๐ เพ็ง วันพฤหัสบดีมฤคเลียรนักษัตร พระญาลิทัยผู้เป็นหลานปู่ พระญาลิทัยผู้เสวยราชในเมืองศรีสัชชนาลัยแลสุกโขทัย ผู้เป็นหลานแก่พระญารามราชอันเป็นสุริยพงษ เพื่อได้กินเมืองศรีสัชชนาลัยอยู่ได้หกเข้า[๔]

ที่มาที่สาม คือ หนังสือ “นางนพมาศ” หรือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์” เนื้อหานั้น นางนพมาศซึ่งเป็นสนมของพระร่วงเจ้าได้เล่าประวัติของตนเอง (อัตชีวประวัติ) ตั้งแต่ก่อนพระร่วงจะตั้งศักราชเล็กน้อยและไปจบในปีที่ ๑๘ ของศักราชที่ตั้งใหม่[๕]

และที่มาสุดท้าย คือ เนื้อความใน “จารึกหลักที่ ๔ วัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร” โดยเฉพาะด้านที่ ๒ ซึ่งอรรถาธิบายความรู้ความสามารถของพระยาลือไทเกี่ยวกับการคำนวณปฏิทินไว้ว่าพระองค์ทรง


“พระปรีชาโอฬาริก ฝ่ายวันสิ้นเดือน ๔ ที่ควรมา..หลังศักราชมีอธิกมาส พระองค์ก็ทรงแก้ไขให้สะดวก ทรงตรวจสอบแล้วอาจรู้ปีที่เป็นปรกติมาสและอธิกมาส วันวารนักษัตรโดยสังเขปและโดยปฏิทินสำเร็จรูป สมเด็จบพิตรอาจถอน อาจลบ อาจเพิ่ม”[๖]




บทวิเคราะห์: สมเด็จพระเจ้าปราสาททองตัดศักราชเก่าตั้งใหม่จริงหรือ?


          ในกรณีของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ศึกษาโดยอาศัยจารึกวัดไชยวัฒนารามและหลักฐานดัทช์ร่วมสมัย สำหรับเอกสารดัทช์ คือ บันทึกของเจ้าหน้าที่ของบริษัทเนเธอร์แลนด์อีสต์อินเดีย (VOC) ได้บันทึกเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน ค..๑๖๓๙ ว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงฉลองการลบศักราชในวันขึ้นปีใหม่ไทยเป็นเวลาสามวัน และฉลองในวันกลางเดือนเมษายนอีก ๓ วัน ซึ่งจากข้อมูลนี้ทำให้ ดร.ประเสริฐ สอบได้ว่าวันขึ้นปีใหม่ไทยตรงกับ “เดือน ๕ ขึ้นค่ำหนึ่ง”[๗] และจากข้อมูลนี้จึงสามารถนำไปสู่การคำนวณวันตัดศักราชใน ค..๑๖๓๘ ได้ โดยการหาวันขึ้นปีใหม่ของปีดังกล่าว ซึ่งได้ว่าเป็น “วันจันทร์ที่ ๑๕ มีนาคม” ซึ่งยังเป็นจุลศักราช ๙๙๙ อยู่ ก่อนจะถึงวันเถลิงศกจุลศักราช ๑๐๐๐ ในวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๖ วัน[๘]


จารึกแผ่นทองแดงวัดไชยวัฒนาราม
ภาพจาก http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/th/img_large.php?f=/317_1.jpg
  
           ส่วนจารึกแผ่นทองแดงวัดไชยวัฒนารามระบุเวลาไว้ตอนท้ายว่า “ศุภมัสดุ พุทธศักราช ๒๑๙๒ มหาศักราช (๑)๕๓๒ วันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ (ปี)จอ โทศก แรกสถาปนา”[๙] ทำให้ทราบว่ามีการแก้ไขปีนักษัตรตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร “บัดนี้ ขาลสัมฤทธิศก จะเอากุนเป็นสัมฤทธิศก” คือ แก้ให้ปีนักษัตรย้อนหลังไป ๓ ปีจาก ขาล เป็น กุน (กุน ชวด ฉลู ขาล) จริง โดยเวลาที่ระบุในจารึกวัดไชยวัฒนารามนั้นควรเป็นปีนักษัตรฉลู แต่กลับระบุว่าเป็นปีจอ (จอ กุน ชวด ฉลู) ย้อนหลังไป ๓ ปีนักษัตรเช่นกัน ดังนั้น ดร.ประเสริฐ จึงสรุปว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่ได้ตัดหรือลบจุลศักราช แต่ได้เปลี่ยนปีนักษัตรถอยหลังไป ๓ ปีนักษัตร[๑๐] ส่วน ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร เสริมว่า พระองค์ได้ทรงหันไปใช้ระบบศักราชแบบเขมร คือ มหาศักราช[๑๑] (ดังปรากฏในจารึกวัดไชยวัฒนาราม) ซึ่งมีความเป็นไปได้ เพราะน่าสังเกตว่าในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงนำสิ่งต่างๆที่เป็นรูปแบบเขมรกลับมาใช้อีกครั้ง เช่น การสร้างพระปรางค์ การสร้างปราสาทนครหลวง การสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง เป็นต้น


ปราสาทนครหลวง
ภาพโดยคุณ บุณฑริกา จาก http://www.klongdigital.com/webboard3/33030.html 


พระพุทธรูปทรงเครื่อง วัดหน้าพระเมรุ
ภาพจาก http://www.thaiwhic.go.th/heritage_culture2.aspx 

            ส่วนข้อมูลเรื่องการส่งทูตให้พม่าใช้ศักราชที่ตั้งใหม่แต่พม่าปฏิเสธนั้น ดร.วินัย ได้อธิบายว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิดของผู้แต่งพระราชพงศาวดารใช้สมัยหลัง เพราะความจริงแล้วเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับ “กบฏเจ้าท่าทราย” ซึ่งกลุ่มที่สนับสนุนเจ้าอาทิตย์ก่อการกบฏเข้ายึดพระราชวังหลวงได้ ๑ คืน ก่อนถูกปราบได้ โดยผู้ก่อการบางคนได้หนีไปยังราชสำนักพม่า พม่าจึงต้องส่งทูตมาชี้แจงว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลัง[๑๒] แต่เนื่องจากเหตุการณ์การส่งทูตมาชี้แจงนี้เกิดขึ้นใกล้จุลศักราช ๑๐๐๐ และพระราชพงศาวดารที่บันทึกไว้คงบันทึกแบบย่อๆ จึงเกิดการเสริมความเข้ากับเรื่องตัดศักราชตามจินตนาการในภายหลัง

            โดยสรุปแล้ว การตัดศักราชของสมเด็จพระเจ้าปราสาทคงเกิดขึ้นจริง แต่เป็นในลักษณะยกเลิกศักราชเก่า คือ จุลศักราชที่กำลังจะครบ ๑๐๐๐ ปี ซึ่งเป็นเรื่องไม่เป็นมงคลตามความเชื่อทางศาสนา ไปใช้มหาศักราชซึ่งเป็นศักราชที่รับมาจากเขมรแทน นอกจากนี้ ยังถอยปีนักษัตรไป ๓ ปีนักษัตร ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร แต่ไม่ได้ทรงตั้งศักราชใหม่แต่อย่างใด ซึ่งเป็นกรณีที่แปลกมาก และน่าศึกษาถึงเหตุผลเบื้องหลังมากขึ้นกว่านี้



บทวิเคราะห์: พระยาลือไทตัดศักราชเก่าตั้งใหม่จริงหรือ?[๑๓]

            ส่วนกรณีพระยาลือไทนั้น ตามการวิเคราะห์ของ ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร ที่มาทั้งสี่ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นเป็นเรื่องฟั่นเฝือเชื่อไม่ได้เสีย ๓ เรื่อง แต่ได้รับการเสริมความน่าเชื่อถือจากเนื้อความในจารึกที่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ โดยจะกล่าวไปทีละเรื่อง ดังนี้

เรื่องแรก ตำนานพระร่วงตัดศักราชใน พงศาวดารเหนือ นั้นมีเค้าโครงเดียวกับเรื่องที่พบในเอกสารล้านนาทั่วไป คือ เรื่องพระเจ้าอนิรุทธมหาราช (กษัตริย์พุกาม ครองราชย์ ค..๑๐๔๔-๑๐๗๗) เรียกชุมนุมเจ้าผู้ปกครองประเทศต่างๆเพื่อตั้งศักราชใหม่ (จุลศักราช) ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะจุลศักราชเริ่มต้นก่อนเวลาตั้งอาณาจักรพุกาม แต่น่าจะเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อแสดงความเกี่ยวข้องของจุลศักราชกับอาณาจักรพุกาม ซึ่งอาจเป็นเพราะล้านนาได้รับเอาการใช้จุลศักราชมาจากพุกามก็เป็นได้

            ส่วน "ศักราช ๒๓" ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงนั้น ก็ไม่ใช่ศักราชที่พระยาลือไทตั้งขึ้นใหม่ เพราะไตรภูมิพระร่วงนั้นเป็นพระราชนิพนธ์ของพระยาลือไทขณะยังครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่ (ประมาณ พ..๑๘๘๓-๑๘๙๐) ขณะที่เรื่อง นางนพมาศ ก็เป็นเรื่องที่เพิ่งแต่งเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้เอง และแม้แต่จารึกวัดป่ามะม่วงที่พรรณนาพระอัจฉริยภาพของพระยาลือไทด้านการคำนวณปฏิทินมากมาย แต่ก็ไม่มีเนื้อความใดกล่าวว่าพระองค์ได้ทรงตัดศักราชเลย

            ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า พระยาลือไทไม่ได้ทรงตัดหรือลบศักราชแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ได้ทรงตั้งศักราชใหม่ด้วย หากแต่เป็นที่ยอมรับว่า พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในการคำนวณปฏิทินได้อย่างถูกต้องแม่นยำ



พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ทรงตั้งศักราชใหม่

            จากที่ได้กล่าวไป จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณทั้งสิ้น และคนในปัจจุบันคงนึกภาพการตัดและตั้งศักราชเฉพาะแต่เรื่องในอดีตที่ย้อนไปไกลเช่นนี้เท่านั้น หากแต่พระมหากษัตริย์ที่ทรงตัดและตั้งศักราชเพียงพระองค์เดียวกลับเป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีนี้เอง คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕

            ศักราชที่พระองค์ตั้งใหม่นั้น คือ “รัตนโกสินทร์ศก” เขียนย่อว่า “ร, ศก” โดยก่อนหน้านี้ ไทยใช้จุลศักราชมาแทบตลอดสมัยอยุธยาตอนปลายและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ การตั้งรัตนโกสินทร์ศกนี้ เป็นไปเพื่อทั้งปฏิรูประบบปฏิทินของไทยซึ่งต้องติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น และรำลึกถึงการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์และตั้งราชวงศ์จักรี ใน พ..๒๓๒๕[๑๔]


พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงตั้ง "รัตนโกสินทร์ศก" และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ได้ยกเลิกศักราชดังกล่าว แล้วประกาศให้ใช้ "พุทธศักราช" แทน
ภาพจาก http://rb-old.blogspot.com/2011/01/2.html  

ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกและพระองค์เดียวที่ได้ตัดศักราชเก่า (จุลศักราช) แล้วตั้งศักราชใหม่ (รัตนโกสินทร์ศก) อย่างแท้จริง โดยการออกประกาศที่ชื่อว่า “ประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่” เมื่อจุลศักราช ๑๒๕๐ ปีชวดสัมฤทธิศก วันพฤหัสบดี แรม ๑๒ ค่ำ เดือน ๔ ตรงกับ ๒๘ มีนาคม พ..๒๔๓๒[๑๕] ก่อนที่ในรัชกาลต่อมาจะมีการปฏิรูประบบปฏิทินไทยอีกครั้ง รวมทั้งการยกเลิกรัตนโกสินทร์ศกที่เพิ่งตั้งนี้ด้วย แล้วหันไปใช้พุทธศักราชเป็นศักราชประจำชาติแทน ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน



[๑] วินัย พงศ์ศรีเพียร, วันวาร กาลเวลา แลนานาศักราช, พิมพ์ครั้งที่ ๒, (กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์), ๒๕๕๒, ๙๑.
[๒] ดูข้อความละเอียดใน กรมศิลปากร, พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒, (กรุงเทพฯ: คลังวิทยา), ๒๕๑๖, ๑๖-๑๘ อ้างใน วินัย พงศ์ศรีเพียร, เพิ่งอ้าง, ๙๑.
[๓] วินัย พงศ์ศรีเพียร, เพิ่งอ้าง, ๙๑-๙๒.
[๔] วินัย พงศ์ศรีเพียร, “ไตรภูมิพระร่วงกับจารึกสุโขทัยและสังคมไทย,” ใน ไผ่นอกกอ, (กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์), ๒๕๕๒, ๓๒.
[๕] วินัย พงศ์ศรีเพียร, วันวาร กาลเวลา แลนานาศักราช, ๙๐.
[๖] “จารึกหลักที่ ๔ วัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร” ใน จารึกสมัยสุโขทัย, (กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร), ๒๕๒๖, ๒๓๔ อ้างใน วินัย พงศ์ศรีเพียร, เพิ่งอ้าง, ๙๐.
[๗] ประเสริฐ ณ นคร, “พระเจ้าปราสาททองทรงลบศักราช,” ใน ประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด, (กรุงเทพฯ: มติชน), ๒๕๔๙, ๑๙๔.
[๘] เรื่องเดิม, ๑๙๕.
[๙] ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, [ออนไลน์], จารึกแผ่นทองแดงวัดไชยวัฒนาราม ด้านที่ ๑, เข้าถึงเมื่อ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ จาก http://www.sac.or.th/databases/inscriptions/th/main.php?p=cGFydA==&id=317&id_part=1. จารึกหลักนี้พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกและครั้งเดียวใน วารสารศิลปากร ปีที่ ๓๕ ฉบับที่ ๖ พ..๒๕๓๕ ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ที่อ้างนี้
[๑๐] ประเสริฐ ณ นคร, เพิ่งอ้าง, ๑๙๕.
[๑๑] วินัย พงศ์ศรีเพียร, วันวาร กาลเวลา แลนานาศักราช, ๙๓.
[๑๒] เรื่องเดิม, ๙๒.
[๑๓] สรุปความจาก เรื่องเดิม, ๘๙-๙๑.
[๑๔] เรื่องเดิม, ๙๔.
[๑๕] เรื่องเดิม, ๙๔.

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

คันหู


รายการ "วู๊ดดี้ เกิดมาคุย" ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์สีโมเดิร์น ไนน์ (Modern Nine) ทุกวันอาทิตย์ เวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง รายการดังกล่าวมักเชิญบุคคลที่กำลังอยู่ในกระแส หรือเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากในวงสังคม ในสัปดาห์นี้รายการนำเสนอประเด็นคลิปการแสดงเพลง "คันหู" โดยวงเทอร์โบ ที่มีน้องจ๊ะเป็นนักร้อง โดยการแสดงดังกล่าวมีการเต้นท่าเกาอวัยวะเพศ รวมทั้งท่าเต้นและการร้องที่ยั่วยวน แขกรับเชิญเบ็ดเสร็จแล้วมีทั้งสิ้น 4 ท่าน คือ คุณไผ่ หัวหน้าวงเทอร์โบ น้องจ๊ะ (ที่วันนี้คนไทยรู้จักว่านามสกุล คันหู) นักร้องวงเทอร์โบ ครูเทียม นักออกแบบท่าเต้นลูกทุ่งชื่อดัง และคุณสมศักดิ์ CEO โลกกลางคืน เมื่อดูจบ ผู้เขียนมีความเห็นต่อประเด็นต่างๆที่นำเสนอในรายการ และมีความเห็นต่อกรณีนี้ ดังนี้

คลิปการแสดงเพลงคันหู

1. เรื่องการตลาดในคลิป "คันหู" เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจและใหญ่ทีเดียว เพราะไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพลงคันหูเท่านั้น แต่ทุกวงการล้วนแต่มีการตลาดแฝงอยู่มากน้อยต่างกันไป ซึ่งการตลาดในทีนี้ คือ การใช้คุณสมบัติพิเศษของผู้หญิง เช่น ความเซ็กซี่ ความสวย เป็นจุดดึงดูดลูกค้า ท่าเต้นและเนื้อร้องที่ไปกันได้ดีในลักษณะสองแง่สองง่ามถือว่าลงตัวในแง่การดึงดูดผู้ชม ซึ่งพิสูจน์ได้จากยอดการเข้าชมคลิปในยูทูบ การตลาดลักษณะนี้พบได้ทั่วไปในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานขาย (บางร้านมีการกำหนดว่าต้องเป็นผู้หญิง อายุในวัยขบเผาะ อาจมีการคัดหน้าตาด้วย) ดารานักแสดง ฯลฯ แต่วงดนตรีที่ไม่ได้ออกเทปและออกเทปขณะนี้ใช้การตลาดเช่นนี้จำนวนไม่น้อย เพราะใช้ได้ดี คนเข้าชมเยอะ งานจ้างเยอะ ไม่ใช่แค่เฉพาะวงเทอร์โบ และบางวงมีบันทึกการแสดงออกจำหน่ายด้วย เช่น วงวาเลนไทน์ วงบัวผัน ฯลฯ ถ้าคิดในแง่การตลาดถือว่าประสบความสำเร็จสำหรับเพลง "คันหู"

2. เรื่องวิวัฒนาการ "เพลงลูกทุ่ง" ขออธิบายก่อนว่าเรื่องนี้เป็นการเข้าใจผิดไปเองของผู้ร่วมสนมนาบางท่าน รวมทั้งพิธีกรเอง เพราะวงเทอร์โบไม่ใช่วงลูกทุ่ง ผู้เขียนไม่ทราบว่าเรียกอะไร อาจเรียก "วงสตริงคอมโบ" กระมัง หรือบางครั้งวง "ลำซิ่ง" ก็พออนุโลมเรียกได้ วงแบบนี้ไม่ได้มุ่งเล่นเพลงลูกทุ่ง ไม่ใช้วงลูกทุ่ง แต่เล่นเพลงทุกแนว ทุกภาษาที่ร้องได้ โดยใช้เพลงของคนอื่นที่ดังๆหรือสนุกสนานมาใช้ทำการแสดง และผมเชื่อว่าน้องจ๊ะก็คงไม่ได้ร้องแค่เพลงลูกทุ่งเท่านั้น ดังนั้น แม้เพลงคันหูจะเป็นเพลงลูกทุ่ง แต่ก็ถือเป็นลูกทุ่งแบบที่ไม่ได้เกี่ยวกับการออกเทปอัดแผ่น หากแต่เป็นวิวัฒนาการของวงดนตรีที่ชาวบ้านจ้างมากกว่า วงพวกนี้ไปเล่นทุกงานจ้างไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานศพ ขอให้จ้างแล้วกัน

วงวาเลนไทน์ เล่นที่งานแต่ง

ดังนั้น จุดที่ตรงประเด็นมากกว่า คือ วิวัฒนาการของการจ้างการแสดงในงานของชาวบ้าน ผู้เขียนไม่มีความรู้พอจะบอกได้ว่าก่อนหน้าจะเป็นวงเหล่านี้ ชาวบ้านเคยจ้างอะไร อาจเป็นลิเก วงดนตรีทั่วไป? แต่วงเช่นนี้เกิดขึ้นไม่น่าจะห่างจาก "กระแสโคโยตี้" เพราะสังเกตได้ชัดจากการแต่งกายว่าเป็นแนวเดียวกัน ดังนั้น การว่าจ่างวงที่มีการแสดงวาบหวิวคงเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ ไม่น่าเกิน 5-10 ปีมานี้เอง ซึ่งคงมาจากการเอ็นเตอร์เทนที่น่าตื่นตาตื่นใจกว่าของเดิมๆ และจริงๆการจะบอกว่าเป็นวิวัฒนาการวงลูกทุ่งก็อาจบอกได้แต่คนลูกทุ่งอย่างครูเทียมคงไม่อยากยอมรับ ...

3. เรื่องการปิดกั้นและสกรีน ช่วงหนึ่ง ครูเทียมเสนอให้มีการสกรีนการแสดงในแนวคลิป "คันหู" ซึ่งสะท้อนว่า ความคิดของเขาไม่ต้องการให้การแสดงเช่นนี้เล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย หรือออกมาให้น้อยที่สุด โดยการปิดกั้นนั้นมีกรณีเทียบเคียง คือ กองเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ การมีกลไกดังกล่าวได้รับการพิสูจน์จากคนหนังจำนวนหนึ่งแล้วว่า ได้ทำให้ภาพยนตร์ถูกตัดแก้บิดเบือนสิ่งที่ต้องการนำเสนอ คือ อยากนำเสนออย่างหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงกลไกนี้บีบบังคับให้ต้องนำเสนออีกแบบหนึ่ง ทั้งยังลดความบันเทิงที่เกิดจากความยั่วยวน ความเซ็กซี่ หรือเรียกรวมๆได้ว่าเรื่องทางเพศที่ได้รับจากภาพยนตร์ลดลงด้วย ดังนั้น หากมีกลไลมาควบคุมการแสดงคอนเสิร์ต การแสดงออกก็คงไม่อาจสร้างความพอใจให้กับผู้ชมได้ดังเดิม เพราะความบันเทิงจากเรื่องทางเพศนั้นถูกสกรีนทิ้ง อ่อ ลืมไปว่ามีคนบางคนไม่ได้บันเทิงกับเขาด้วย .. ก็อย่าดูสิครับ !! 

การแสดงเพลงคันหูอีกคลิป

ข้อคิดเห็นอื่นๆ อยากวิเคราะห์ในภาพรวม คือ การมองของคนส่วนใหญ่ถูกครอบงำโดยวัฒนธรรมชุดหนึ่ง (ที่ถูกสร้างขึ้นแล้วบอกว่าดีงาม) ซึ่งปฏิเสธวัฒนธรรมแบบอื่นทั้งหมดที่เห็นว่าขัดกับมัน รวมทั้งอาจพยายามสกัดกั้น เช่น การสร้างกลไลบางอย่างมาตรวจสอบ อย่างกรณีภาพยนตร์ที่มีกองเซ็นเซอร์ (ชอบคำที่วู๊ดดี้ใช้ คือ บนดิน-ใต้ดิน ถ้ามึงไม่เข้ากับกูก็มุดอยู่ใต้ดินไปเสีย) คนพวกนี้ไม่มีทางรับได้ว่าเมืองไทยอันศิวิไลซ์ของพวกเขามีการแสดงแบบคลิปคันหูทุกคืน มีวงที่นักร้องและแดนเซอร์แต่งตัววาบหวิวเต้นยั่วยวนขึ้นเวทีอยู่ทั่วไป ขณะที่ชาวบ้านแห่ไปดูกันเป็นเรื่องปกติ หรือชาวบ้านผู้หญิงบางหมู่บ้านยังคงเปิดผ้าถุงโชว์อวัยวะเพศไล่ราหูเมื่อเกิดสุริยคราสกันอยู่ เลิกปิดหูปิดตาคนอื่นและตัวเองแล้วมองส่วนที่ต่างไปจากพวกคุณที่มีมากมายในสังคม ซึ่งไม่ใช่ส่วนเล็กๆเสียด้วย แต่เป็นส่วนใหญ่ทีเดียว ทำไมบอกให้คนหลากสีเปิดใจทางการเมือง แต่เรื่องวัฒนธรรมที่แตกต่างกลับปิดบังซ่อนเร้น อย่าทำให้เกิดประเด็น "วัฒนธรรมเจ้า-ไพร่" ขึ้นมาโดยอ้อมครับ