วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

พื้นที่ชีวิตในเยรูซาเล็ม: เศรษฐกิจ ศรัทธา และความขัดแย้ง


ส่วนที่เป็นย่านชาวอาร์เมเนีย (Armenian Quarter) ในเมืองเก่าของเยรูซาเล็ม
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem
หลังจากดู "พื้นที่ชีวิต" กับการสำรวจศรัทธาในเยรูซาเล็มสัปดาห์นี้โดย วรรณสิงห์&มาโนช จบไปแล้ว พอสรุปสาระได้เป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

1. เรื่องของความหลากหลายทางศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม (และอาจรวมถึงสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละกลุ่มชน) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่มาก เพราะปัจจุบันยังมีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆเกิดขึ้น เช่น ยิวกับอาหรับ อิสราเอลกับปาเลสไตน์ เป็นต้น แต่จากภาพโดยรวมในวันนี้ทำให้เราเห็นว่า บางทีภาพความรุนแรงในสังคมการเมืองโลกกับปัญหาตะวันออกกลางก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อความหลากหลายในเยรูซาเล็มมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเยรูซาเล็มจากแต่ละศาสนาจะมองความหลากหลายในแง่ดีไปเสียหมด หลายคนอาจมองเห็นแต่ละศาสนาเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อขึ้นมาเป็นเยรูซาเล็ม จะขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปเสียไม่ได้ แต่ก็คงอีกไม่น้อยที่มองเป็นความวุ่นวาย หรืออาจมีอคติต่อศาสนาอื่นจากการมอง "ความจริง" ของตนเหนือกว่าของคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติในโลก เช่น คนคริสต์ที่เดินทางสำรวจโลกเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนมองชาวพื้นเมืองทางซีกโลกตะวันออกว่าเป็นพวกป่าเถื่อน (barbarian) ขณะที่คนไทยพุทธบางคนมองว่าศาสนาและศาสดาของตนยิ่งใหญ่เหนือใคร เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งและความรุนแรงได้ง่ายๆ
มัสยิด Dome of the Rock หรือ Masjid Qubbat As-Sakhrah
ภาพจาก 
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=11659

ความจริงแล้ว ความขัดแย้งระหว่างศาสนา และเชื้อชาติเพิ่งก่อตัวเมื่อลัทธิจักรวรรดินิยมเข้ามาเกี่ยวข้องกับดินแดนในแถบตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งชาติเหล่านี้กลับถูกอำนาจทางเศรษฐกิจของชาวยิวโน้มนำให้ทำในสิ่งซึ่งกระทบต่อชาวอาหรับ-มุสลิม โดยแย่งชิงดินแดนซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอลไปจากพวกเขา และนำไปสู่สงครามหลายครั้งระหว่างอิสราเอลและชาติอาหรับ ซึ่งทุกครั้งสหรัฐฯจะยื่นมือเข้ามาช่วยอิสราเอล ก่อนหน้าเหตุการณ์เหล่านี้ ขันติธรรมทางศาสนาที่แท้จริงคงเกิดขึ้นอยู่ ก่อนที่ความหวาดระแวงและเกลียดชังจะเข้ามาแทนที่หลังมหาอำนาจเข้ามาสร้างมรดกอันเลวร้ายเอาไว้


ชายชาวยิวกำลังนั่งศึกษาคัมภีร์ศาสนายูดายอย่างคร่ำเคร่ง
ภาพจาก http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=11659

2. เรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งตัวขับเน้นเศรษฐกิจของเยรูซาเล็มก็คือ "ศรัทธา" จากศาสนาและความเชื่อต่างๆ โดยเฉพาะ 3 ความเชื่อหลักที่ก่อร่างสร้างตัวในเยรูซาเล็ม คือ ยูดาย คริสต์ และอิสลาม

เศรษฐกิจในรูปแบบแรกที่ศรัทธาได้ขับเคลื่อนให้ คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งผู้คนที่มีศรัทธาใน 3 ศาสนาที่ว่าต่างเดินทางทั้งจากในและนอกประเทศอิสราเอลเพื่อมาเยี่ยมชมและปฏิบัติศาสนกิจ ออกแนวคนไทยเห่อไปพุทธคยาในอินเดียอะไรประมาณนั้น ซึ่งโอเคว่ามันนำมาซึ่งเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวจากหลายมุมของโลกเอียงๆใบนี้ แต่มุมมองของบางคนกลับน่าสนใจแม้จะดูอนุรักษ์นิยมก็ตาม คือ การท่องเที่ยวได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงมีทั้งดีขึ้นและเลวลง

ในแง่ดี ชาวเมืองจากทุกความเชื่อพยายามหลุดพ้นจากความขัดแย้ง (แบบเฉพาะกิจ?) แล้วสร้างเมืองให้น่าเที่ยวเพื่อดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมเยียนและนำเงินมาให้


เด็กหญิงนักท่องเที่ยวชาวคริสต์ที่มาเยือนเยรูซาเล็มกับครอบครัว
ภาพจาก http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=11659

แต่อีกแง่หนึ่ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทำให้เมืองแห่งนี้แออัดยัดเยียดเกินไป จากที่เคยเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบ กลับกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวหลากหลายศาสนา ลองนึกภาพตลาดแถวบ้านคุณที่เคยเดินจ่ายตลาดได้อย่างสบายใจ แต่วันหนึ่งต้องมีคนแขก มีฝรั่ง มีคนแอฟริกามาเดินกันขวักไขว่ในตลาดแห่งนั้น ความรู้สึกแบบนี้ก็คงไม่ต่างไปจากความรู้สึกของคนที่มองในมุมนี้สักเท่าไร

เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยศรัทธาอีกรูปแบบหนึ่ง คือ ศาสนพานิชย์ อันได้แก่ "ศรัทธาที่ซื้อขายได้" เช่น ในไทยมีพระเครื่อง มีเครื่องสังฆทาน มีผ้าไตร จีวร เทียนพรรษา ฯลฯ ซึ่งซื้อขายกันอย่างคึกคักเนื่องจากความศรัทธาในศาสนา ในเยรูซาเล็มก็ไม่ต่างกัน ความศรัทธามักแปรเปลี่ยนเป็นตัวเงินได้เสมอ สิ่งศักดื์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆถูกนำมาวางขายในย่านเก่าของเยรูซาเล็มเพื่อรอตอบสนองนักท่องเที่ยวและเหล่าศาสนิกผู้ศรัทธาอย่างเต็มใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกตราบที่มนุษย์ยังไม่อาจควบคุมชะตาชีวิตแหละเห็นว่าควรมีสิ่งยึดเหนี่ยวสำหรับตน ตั้งแต่พระเครื่องไปยันไม้กางเขนหรือพระคัมภีร์

ภาพ The Finding of Moses โดย Sir Lawrence Alma-Tadema ปี 1904
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Lawrence_Alma-Tadema

โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างหลากหลายในเยรูซาเล็มค่อนข้างแตกต่างไปจากความรับรู้ ที่มีเรื่องยิงใส่กันระหว่างกองกำลังอาหรับในเขตปาเลสไตน์กับทหารอิสราเอล เพราะศาสนาหลักในเมืองแห่งนี้ทั้ง 3 อันได้แก่ ยูดาย คริสต์ และอิสลาม ต่างดำรงอยู่ร่วมกันอย่างค่อนข้างสงบ ไม่ว่าความขัดแย้งจะหายไปแล้วจริงๆหรือมันถูกเก็บและกดไว้ (ซึ่งผมเห็นว่าเป็นกรณีหลังเสียมากกว่า) แต่สิ่งที่ได้รับประโยชน์ คือ ภาคเศรษฐกิจเกี่ยวกับศรัทธา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และศาสนพานิชย์ ที่เติบโตเป็นอย่างดีเมื่อเมืองมีความสงบ แต่บางทีถ้าขาดการดูแลจัดการที่ดีพอ ก็อาจกลายเป็นปัญหาใหม่ เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาผู้อพยพ ฯลฯ ซึ่งในยุคโลกาภิวัตน์ สิ่งเหล่านี้พร้อมจะทะลุทะลวงเข้าไปในทุกประเทศได้เสมอ


ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ "ศรัทธา" ในเยรูซาเล็ม ตอนที่ 2 ได้ในวันพุธหน้า 4 ทุ่มตรง ทาง ThaiPBS ครับ

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

เสวนา “ตามรอยทัพพระเจ้าตาก”


พระบรมรูปพระเจ้าตากสินและทหารคนสนิท ประดิษฐานที่อู่ต่อเรือฯ เสม็ดงาม จันทบุรี
ถ่ายภาพ: Poii 

เมื่อช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมฟังการเสวนาในหัวข้อเรื่อง "ตามรอยทัพพระเจ้าตาก" ณ อู่ต่อเรือฯ บ้านเสม็ดงาม จันทบุรี ซึ่งได้ทราบข่าวผ่านทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) อย่างเฟซบุ๊ค (Facebook) ของทางหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ที่ทางผู้จัด คือ คุณสุชาติ กนกรัตน์มณี ได้แชร์กิจกรรมดีๆนี้ไว้

เมื่อสำรวจสายตาไปดูรายชื่อวิทยากรแล้ว คาดไว้ได้เลยว่าคงไม่ใช่งานเสวนาธรรมดาๆ แน่ๆ เพราะรายชื่อนั้นนำโดยนักประวัติศาสตร์อาวุโสชั้นแนวหน้าของประเทศอย่าง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ บุนนาค ส่วนอีกสองท่าน คือ คุณกุณฑล วัฒนวีร์ และ ดร.จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์ ทราบในภายหลังว่า ท่านแรกเป็นมัคคุเทศน์ผู้เชี่ยวชาญสถานที่ทางฝั่งธนฯ อย่างมาก และเขียนหนังสือเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมาแล้ว 2 เล่ม ส่วนท่านหลังเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ไฟแรงจากอักษณศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เวลานัดหมาย คือ บ่ายโมงตรง แต่เวลาที่เริ่มต้นจริงก็ล่วงเลยไปเกือบจะบ่ายสองโมงเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผู้ดำเนินการเสวนาซึ่งก็คือผู้จัดนั่นเองก็เริ่มประเด็นแรกว่าด้วย “การศึกษาประวัติศาสตร์” ซึ่งตัวผู้เขียนถือว่าสำคัญมาก เพราะนี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจสรุปเป็นได้ ดังนี้

1. ต้อง “เลือกใช้และเลือกเชื่อ” ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เนื่องจากหลักฐานประวัติศาสตร์นั้น บางครั้งก็ไม่ได้ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป และแม้แต่หลักฐานทุกชิ้นให้ข้อมูลเหมือนๆกัน ก็ต้องวิพากษ์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นด้วย

2. ผู้ศึกษาต้องตัด “อคติ” (bias) ส่วนตัวออกไป กล่าวคือ ต้องมีความเป็นกลาง ซื่อสัตย์ต่อหลักฐานที่มี โดยอคตินั้นอาจมาจากเชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ แต่ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับประเด็นสมเด็จพระเจ้าตากสินที่สุดคงเป็น “ศรัทธา” ที่อาจทำให้ผู้ศึกษาไขว้เขวไปได้

วิทยากรทั้ง 3 ท่าน และพิธีกรในงาน
ถ่ายภาพ: Poii
ประเด็นต่อมา คือ การวิเคราะห์ว่า “ทำไมสมเด็จพระเจ้าตากสินจึงเลือกมาตั้งหลักที่จันทบุรี” เรื่องนี้วิทยากรทั้งสามท่านเห็นตรงกันในเรื่อง “เศรษฐกิจการค้า” เนื่องจากจันทบุรีเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญทางตะวันออกของกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด ซึ่งผลจากจุดเด่นนี้ส่งผลอื่นๆอีก คือ เป็นแรงดึงดูดผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะชาวจีนและชาวมุสลิม ที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่กองทัพกู้ชาติของสมเด็จพระเจ้าตากสินอย่างมาก

อีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง คือ เรื่อง “ยุทธศาสตร์” เนื่องจากสงครามคราวเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 นั้นส่งผลให้หัวเมืองทั้งทางภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป มีเพียงทางอีสานกับตะวันออก-เขมรเท่านั้นที่อยู่รอดปลอดภัย อย่างไรก็ดี หัวเมืองทางอีสานมีข้อจำกัดในด้านการรวบรวมไพร่พล เนื่องจากบ้านเมืองค่อนข้างกระจายตัวอย่างกว้างขวาง ผิดกับทางตะวันออกที่หัวเมืองเรียงต่อกันไปตามชายฝั่งง่ายต่อกันเดินทางรวบรวมกำลังพล

ส่วนในประเด็นสุดท้าย ได้แก่ “พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ซึ่งเรื่องนี้ วิทยากรพยายามชี้ให้เห็นมุมที่ต่างไปของพระองค์ ซึ่งมักถูกฉายให้เห็นเพียงความเป็นนักรบที่หาญกล้าเท่านั้น เช่น วิสัยทัศน์ในการเลือกเมืองที่จะลงหลักปักฐานใหม่ที่กรุงธนบุรี การเสียสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเลี้ยงดูพสกนิกรที่กำลังเดือดร้อนไปทั่ว การใช้ศาสนาในการกล่อมเกลาจิตใจประชาชน รวมทั้งในด้านวรรณกรรมที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง ซึ่งแม้คุณค่าด้านวรรณศิลป์อาจจะเทียบกับงานของเหล่ากวีเอกหลายๆคนไม่ได้ แต่ก็สอดแทรกเรื่องของการสั่งสอนโดยทางอ้อมซึ่งเข้ากับสภาพการณ์มากกว่า

ที่นำมาลงเป็นเพียงประเด็นหลักๆ เท่านั้น เพราะจริงๆแล้วมีประเด็นเล็กประเด็นน้อยอีกมากที่ไม่ได้กล่าวในที่นี้ และก่อนจบการเสวนา วิทยากรได้สรุปให้เห็นความสำคัญของช่วงเวลาสิบปีเศษในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือสมัยธนบุรีอย่างน่าสนใจ ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์นี้เป็นช่วงส่งต่อหรือเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ จากอยุธยามาเป็นรัตนโกสินทร์ “หากไม่มีธนบุรี ก็ไม่มีรัตนโกสินทร์”

ด้วยเวลาอันจำกัดทำให้การแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างวิทยากรกับผู้ร่วมเสวนาเกิดขึ้นน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ต้องขอบคุณผู้จัดงานที่เห็นคุณค่าของ “ประวัติศาสตร์” และจัดงานนี้ขึ้นมา ขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่กรุณาสละเวลามาให้ความรู้ ขอบคุณ ทีมงานจากหอจดหมายเหตุ จันทบุรี ที่ทำงานหนักเพื่อประชาชนโดยตลอด ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ คุณกุณฑล วัฒนวีร์ สำหรับหนังสือดีๆ ขอบคุณ อาจารย์ปิยนาถสำหรับแรงบันดาลใจให้ทำงานประวัติศาสตร์ต่อไป และเหนืออื่นใด เพื่อนร่วมทางที่บุกตะลุยไปทุกที่ทุกแห่งอย่างรู้ใจ ^ ^