วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลมฟ้ากับอารมณ์


ในเช้าที่ลมโชยพาอากาศเย็นสดชื่นมาสู่เมืองกรุง การตื่นขึ้นจากความฝันสู่โลกความเป็นจริงก็ดูจะคุ้มค่าขึ้นเป็นทวี อากาศหนาวที่มีแค่ปีละครั้ง และก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าใด สามารถเป็นยากระตุ้นให้คนอยากลุกจากเตียงขึ้นมาสูดความเย็นเข้าปอด แต่บางคนก็เลือกที่จะอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ให้นานขึ้นอีกนิดจะดีกว่า

อากาศและฤดูกาลช่างส่งผลต่อมนุษย์อย่างยิ่งยวด จะมีสักกี่คนที่ทานทนต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และอุณหภูมิรอบกายอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก เพลงหลายเพลงบ่งบอกความรู้สึกที่เหล่าศิลปินจินตนาการถึงยามลม ฝน หรือแดด มาเยือน ซึ่งเพลงเหล่านี้บางครั้งเป็นเพียงตัวสะท้อน แต่บางครั้งได้ตอกย้ำความรู้สึกเช่นนั้นแก่ผู้ฟัง และอาจทำให้ความด้านชาต่อฝนฟ้าอากาศลดน้อยลงไป

ยามฝนพรำ เปียกแฉะ ชุ่มชื้น เละเทะ เย็นฉ่ำ ฯลฯ หลากคนก็หลากความเห็นต่อวันเวลาดังกล่าว เพลงหลายเพลงบ่งบอกความเหงาของทั้งคนโสดและไม่โสดยามฝนตก เช่น “วันนี้ฝนตกไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้างไหมหนอเธอ” (Loso ฝนตกที่หน้าต่าง) บางเพลงไม่แค่เหงายามฝนตก แต่ขอให้ฝนหยุดมันเสียเลย “ขอวอนเถอะฟ้าช่วยสั่งให้ฝนหยุด ก็หัวใจมันชำรุดไม่มีสักคนเคียงข้างกาย ฟ้าช่วยสั่งให้ฝนนั้นสลาย ก็มันเหงาจะตาย ไม่มีใครเลยสักคนให้กอด” (Dr.Fuu : โรคกลัวฝน) บางครั้งก็คิดถึงคนคนหนึ่งเวลาฝนตก “ก็เกี่ยวกับเธอเท่านั้นที่ฉันเป็นแบบนี้ ก็เธอคนดีไปแล้วไปลับไม่ย้อนมา เมื่อไม่มีเธอฉันเหงาทุกเวลา ไม่เกี่ยวกับฝนกับฟ้าหรือว่าเรื่องไหนเลย” (กะลา ไม่เกี่ยวกับฝน) บางทีก็น้อยใจขึ้นมายามฝนลงเม็ด “ฝนกำลังตกลงมา รู้ไหมว่ามีใครร้องไห้ คิดถึงจนแทบขาดใจ เกิดอะไรไม่โทรหากัน ฝนกำลังตกลงมา ฉันกำลังจิตใจฟุ้งซ่าน รู้ไหมว่าที่เธอทำฉันน้อยใจ” (ซาร่า ผุงประเสริฐ ฝน)

ฉากพระเอกหรือนางเอกเดินตากฝนเป็นฉากสุดคลาสสิคเมื่อนึกถึงเวลาอกหัก เศร้าใจ และอารมณ์ขุ่นมัวอื่นๆ ขณะเดียวกัน หากเปลี่ยนจากการเดินคนเดียวเป็นคู่กันแล้ว สถานการณ์ก็กลับตรงข้าม การเดินกุมมือภายใต้ร่มที่กันฝนได้บ้างไม่ได้บ้างช่างสุดแสนโรแมนติกในจินตนาการเสียจริง แม้นหากในความเป็นจริงแล้วอาจเป็นคนละเรื่องเลยก็ได้

เมื่อนึกถึงความรักยามฝนตก ก็ต้องมีหลายคนคิดอิจฉา เป็นไปไม่ได้ที่สมองจะไม่สั่งการใดๆ เมื่อเห็นใครสักคนมีคนเคียงข้างฝ่าฝนหรือหลบฝนด้วยกัน ความอิจฉาเกิดขึ้นเสมอเมื่อเห็นคนอื่นมีแล้วเราอยากจะมีบ้าง มันเป็นธรรมดาโลกของปุถุชนที่ไม่มีวันตัดได้ซึ่งโลภ โกรธ หลง เห็นไหมครับ หลากหลายอารมณ์จริงๆ ยามฝนพรำ แต่สุดท้าย เมื่อฝนหยุดมันก็จะเข้าสู่ความสดใส ต้นไม้ใบหญ้าต่างเขียวชอุ่ม ทุกสิ่งดูกลับมาสดใส (ลองนึกถึงตอนที่รถกำลังแล่นผ่านทุ่งหญ้าหรือทุ่งนาเขียวขจียามฝนหยุดใหม่ๆ พร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ หลังฝนตก แม้จริงๆ แล้วมันจะเฉอะแฉะมากกว่าก็เถอะ) อย่างที่มักมีการเปรียบเปรยความสุขหลังความทุกข์ยากว่าเป็น “ฟ้าหลังฝน”

ฤดูที่น่าสนใจไม่น้อย และก็เกิดขึ้นอยู่ยามนี้คือ หน้าหนาว (oHhHH!! I feel it haa) บางคนตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อจะได้ใส่เสื้อกันหนาวสวยๆ บางคนขอเพียงให้มาสักทีเถอะ (เบื่อหน้าฝน) บางคนอยากไปแอ่วบนดอยหม่อนเมืองเหนือ ก็ว่ากันไป ฤดูหนาวเป็นตัวแทนของหลายสิ่งอย่าง ในดินแดนที่หนาวเย็นอย่างยุโรป อเมริกา และบางประเทศในเอเชีย เขาจะมีฤดูที่เรียกว่า Autumn หรือไทยเราเรียกว่า “ฤดูใบไม้ร่วง” ใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนทิ้งตัวลงสู่ผืนดิน ก่อนที่ดินแดนเหล่านั้นจะเข้าสู่ช่วงฤดูที่หนาวที่สุด (Winter) และต่อด้วย “ฤดูใบไม้ผลิ” (Spring) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ก็เหมือนกับการเปลี่ยนผ่านสิ่งต่างๆ ดุจดังใบไม้ใบชุดเก่าที่พร้อมจะร่วงโรยเพื่อหลีกทางให้กับใบอ่อนชุดใหม่ที่จะงอกเงยขึ้นมาแทนที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งฝรั่งมักมองว่าเปรียบเสมือน “การเกิดใหม่” (rebirth) ของสรรพสิ่งดังใบไม้ที่งอกเงย พร้อมกับต้นไม้ใบหญ้าที่กลับเติบโตขึ้นอีกครั้งหลังฤดูหนาวที่หิมะปกคลุมไปทั่ว

ว่าด้วยตัวแทนของหน้าหนาวกันบ้าง เพลงหลายเพลงบ่งบอกว่าหน้าหนาวมันช่วงยากเข็ญ อากาศที่เย็นยะเยือกกระตุ้นให้มนุษย์แสวงหาความอบอุ่นทั้งทางกายและทางใจ แต่เมื่อไม่มีคนรักหรืออกหักขาดคนดูแลก็จะออกมาแบบ “หนาวใจจะขาดใจเมื่อขาดเธอคนดี ขาดไอรักอบอุ่น ที่เคยได้มี ฉันเพียงต้องการเธอกลับมาหา โปรดเถิดหนา กลับมา มารักกัน” (Clash – หนาว) ไปจนถึงเพลงอมตะของวง Tea For Three อย่าง “ลมหนาว” ที่มีท่อนฮุกติดปากว่า “ลมหนาวมาเมื่อใด ใจฉันคงยิ่งเหงา คืนวันที่มันเหน็บหนาว ไม่รู้จะทนได้นานเท่าไร ลมหนาวมาเมื่อใด กลัวฉันกลัวขาดใจ เพราะหัวใจที่มันอ่อนไหว ไม่เคยได้รักจากใครเสียที”

ในความรู้สึกส่วนตัว ภาพของฤดูหนาวเป็นภาพที่สวยที่สุดในสายตาผม ความเย็นทำให้บางครั้งอะไรๆ ก็พร่ามัวลงบ้าง หมอกยามเช้าทำให้เราเหมือนอยู่ในดินแดนต้องมนตร์ แต่เป็นมนตร์ขลังที่เสกสรรค์ให้ความสวยงามเกิดขึ้น ผมชอบนึกถึงภาพแบบแนวสีอ่อนๆ แนวที่เราเห็นทั่วไปในร้านกาแฟแนวๆ แบบนั้น มันสบายตาไปหมด มันผลักดันให้เราอยากออกไปเจอโลกมากกว่าอยากจะอุดอู้อยู่ในห้อง ในใจเหมือนมีแต่ภาพแห่งความสุข ที่สุดแล้วมันก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกให้มันเป็นหนาวแบบไหน จะหนาวกายใจ หรือหนาวแต่กายแต่ใจอบอุ่นก็ต้องเลือกทางเดินของเรา

ฤดูสุดท้ายที่หลายๆ คนไม่อยากให้มาถึง คือ ฤดูร้อน บางคนสวนมาว่าจะบ่นทำไม เมืองไทยก็หน้าร้อนทุกวันแหละ แค่จะร้อนมากหรือร้อนน้อยก็แค่นั้น ก็ว่ากันไป แม้จะร้อนกาย แต่ใจบางคนก็เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสซะ “หัวใจมันเซทะเลคือจุดหมาย ได้ออกไปเจอคลื่นลมคงหายดี” (แพรว คณิตกุล เพิ่งจะรู้) แม้สุดท้ายมันจะไม่ได้ช่วยอะไรก็ตามเถอะ แถมยังพลอยคิดถึงมากขึ้นไปเสียอีก เพลงสุดคลาสสิคสำหรับหน้าร้อนอีกเพลง คือ ฤดูร้อน ของ Paradox ที่ก็ยังอยู่ในอารมณ์เศร้า แต่ดนตรีฟังสบาย “ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเคย ฤดูร้อนไม่มีเธอ เหมือนก่อน เหมือนเก่า ขาดเธอ ” ส่วนอารมณ์สนุกก็ขาดไม่ได้สำหรับหัวใจที่ไม่เคยหลับใหลของมนุษย์ (แต่ก็ระวังเป็นลมแดดซะล่ะ) เพลงเรกเก้แนวๆ อย่าง Let’s go to the sea โดย Kai-Jo Brothers “Let’s go to the sea. Let’s go see the sun shine …” ซึ่งพาเรามามองโลกในอีกมุมหนึ่งแบบชีวิตเสรีในหน้าร้อน (หรือหน้าไหนๆ ก็ตาม) ลองทิ้งความทุกข์ไว้ข้างหลังแล้วมุ่งหน้าไปทะเลกันเถอะว่างั้น มันก็จริงที่เวลามีปัญหา คนเราก็มองหาทางออก ทางหนี ทางไล่ ไปจนถึงทางตาย แต่ไม่ค่อยแก้ปัญหา ปัญหามันก็เลยยังอยู่เมื่อกลับมา (หรือไม่กลับมาก็ตาม) อันนี้ก็คงต้องใช้วิจารณญาณเอาเอง

แม้อุณหภูมิรอบกายจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคืออย่าทำให้อารมณ์เราเซไปกับมันมากนัก ความเปลี่ยนแปลงอย่างฟ้า ฝน แดด ลม มันก็เหมือนอารมณ์ที่แปรปรวนของคนเรา ถ้าเรายังปล่อยให้มันมีอิทธิพลต่อเราเกินไป บางทีความยุ่งยากอาจจะตามมาเสียเปล่าๆ และสุดท้าย ความคาดหวังต่อสภาพอากาศเป็นไปได้ยากเพียงใด ความคาดหวังต่อทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ก็ยากไม่น้อยไปกว่านั้น ขอให้ชีวิตภายใต้อากาศที่เปลี่ยนไปทุกวันจงประสบสุขทุกทั่วชั่วนิจเถิด 

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

พื้นที่ชีวิตในเยรูซาเล็ม: เศรษฐกิจ ศรัทธา และความขัดแย้ง


ส่วนที่เป็นย่านชาวอาร์เมเนีย (Armenian Quarter) ในเมืองเก่าของเยรูซาเล็ม
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem
หลังจากดู "พื้นที่ชีวิต" กับการสำรวจศรัทธาในเยรูซาเล็มสัปดาห์นี้โดย วรรณสิงห์&มาโนช จบไปแล้ว พอสรุปสาระได้เป็น 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ

1. เรื่องของความหลากหลายทางศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม (และอาจรวมถึงสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละกลุ่มชน) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่มาก เพราะปัจจุบันยังมีความขัดแย้งระหว่างฝ่ายต่างๆเกิดขึ้น เช่น ยิวกับอาหรับ อิสราเอลกับปาเลสไตน์ เป็นต้น แต่จากภาพโดยรวมในวันนี้ทำให้เราเห็นว่า บางทีภาพความรุนแรงในสังคมการเมืองโลกกับปัญหาตะวันออกกลางก็ไม่ได้มีผลอะไรต่อความหลากหลายในเยรูซาเล็มมากนัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเยรูซาเล็มจากแต่ละศาสนาจะมองความหลากหลายในแง่ดีไปเสียหมด หลายคนอาจมองเห็นแต่ละศาสนาเป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อขึ้นมาเป็นเยรูซาเล็ม จะขาดชิ้นใดชิ้นหนึ่งไปเสียไม่ได้ แต่ก็คงอีกไม่น้อยที่มองเป็นความวุ่นวาย หรืออาจมีอคติต่อศาสนาอื่นจากการมอง "ความจริง" ของตนเหนือกว่าของคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติในโลก เช่น คนคริสต์ที่เดินทางสำรวจโลกเมื่อประมาณ 500 ปีก่อนมองชาวพื้นเมืองทางซีกโลกตะวันออกว่าเป็นพวกป่าเถื่อน (barbarian) ขณะที่คนไทยพุทธบางคนมองว่าศาสนาและศาสดาของตนยิ่งใหญ่เหนือใคร เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งและความรุนแรงได้ง่ายๆ
มัสยิด Dome of the Rock หรือ Masjid Qubbat As-Sakhrah
ภาพจาก 
http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=11659

ความจริงแล้ว ความขัดแย้งระหว่างศาสนา และเชื้อชาติเพิ่งก่อตัวเมื่อลัทธิจักรวรรดินิยมเข้ามาเกี่ยวข้องกับดินแดนในแถบตะวันออกกลาง โดยเฉพาะอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งชาติเหล่านี้กลับถูกอำนาจทางเศรษฐกิจของชาวยิวโน้มนำให้ทำในสิ่งซึ่งกระทบต่อชาวอาหรับ-มุสลิม โดยแย่งชิงดินแดนซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอลไปจากพวกเขา และนำไปสู่สงครามหลายครั้งระหว่างอิสราเอลและชาติอาหรับ ซึ่งทุกครั้งสหรัฐฯจะยื่นมือเข้ามาช่วยอิสราเอล ก่อนหน้าเหตุการณ์เหล่านี้ ขันติธรรมทางศาสนาที่แท้จริงคงเกิดขึ้นอยู่ ก่อนที่ความหวาดระแวงและเกลียดชังจะเข้ามาแทนที่หลังมหาอำนาจเข้ามาสร้างมรดกอันเลวร้ายเอาไว้


ชายชาวยิวกำลังนั่งศึกษาคัมภีร์ศาสนายูดายอย่างคร่ำเคร่ง
ภาพจาก http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=11659

2. เรื่องของเศรษฐกิจ ซึ่งตัวขับเน้นเศรษฐกิจของเยรูซาเล็มก็คือ "ศรัทธา" จากศาสนาและความเชื่อต่างๆ โดยเฉพาะ 3 ความเชื่อหลักที่ก่อร่างสร้างตัวในเยรูซาเล็ม คือ ยูดาย คริสต์ และอิสลาม

เศรษฐกิจในรูปแบบแรกที่ศรัทธาได้ขับเคลื่อนให้ คือ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งผู้คนที่มีศรัทธาใน 3 ศาสนาที่ว่าต่างเดินทางทั้งจากในและนอกประเทศอิสราเอลเพื่อมาเยี่ยมชมและปฏิบัติศาสนกิจ ออกแนวคนไทยเห่อไปพุทธคยาในอินเดียอะไรประมาณนั้น ซึ่งโอเคว่ามันนำมาซึ่งเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวจากหลายมุมของโลกเอียงๆใบนี้ แต่มุมมองของบางคนกลับน่าสนใจแม้จะดูอนุรักษ์นิยมก็ตาม คือ การท่องเที่ยวได้นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงมีทั้งดีขึ้นและเลวลง

ในแง่ดี ชาวเมืองจากทุกความเชื่อพยายามหลุดพ้นจากความขัดแย้ง (แบบเฉพาะกิจ?) แล้วสร้างเมืองให้น่าเที่ยวเพื่อดึงดูดผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมเยียนและนำเงินมาให้


เด็กหญิงนักท่องเที่ยวชาวคริสต์ที่มาเยือนเยรูซาเล็มกับครอบครัว
ภาพจาก http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=11659

แต่อีกแง่หนึ่ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทำให้เมืองแห่งนี้แออัดยัดเยียดเกินไป จากที่เคยเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์และเงียบสงบ กลับกลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวหลากหลายศาสนา ลองนึกภาพตลาดแถวบ้านคุณที่เคยเดินจ่ายตลาดได้อย่างสบายใจ แต่วันหนึ่งต้องมีคนแขก มีฝรั่ง มีคนแอฟริกามาเดินกันขวักไขว่ในตลาดแห่งนั้น ความรู้สึกแบบนี้ก็คงไม่ต่างไปจากความรู้สึกของคนที่มองในมุมนี้สักเท่าไร

เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยศรัทธาอีกรูปแบบหนึ่ง คือ ศาสนพานิชย์ อันได้แก่ "ศรัทธาที่ซื้อขายได้" เช่น ในไทยมีพระเครื่อง มีเครื่องสังฆทาน มีผ้าไตร จีวร เทียนพรรษา ฯลฯ ซึ่งซื้อขายกันอย่างคึกคักเนื่องจากความศรัทธาในศาสนา ในเยรูซาเล็มก็ไม่ต่างกัน ความศรัทธามักแปรเปลี่ยนเป็นตัวเงินได้เสมอ สิ่งศักดื์สิทธิ์ของศาสนาต่างๆถูกนำมาวางขายในย่านเก่าของเยรูซาเล็มเพื่อรอตอบสนองนักท่องเที่ยวและเหล่าศาสนิกผู้ศรัทธาอย่างเต็มใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกตราบที่มนุษย์ยังไม่อาจควบคุมชะตาชีวิตแหละเห็นว่าควรมีสิ่งยึดเหนี่ยวสำหรับตน ตั้งแต่พระเครื่องไปยันไม้กางเขนหรือพระคัมภีร์

ภาพ The Finding of Moses โดย Sir Lawrence Alma-Tadema ปี 1904
ภาพจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Lawrence_Alma-Tadema

โดยสรุปแล้ว ความแตกต่างหลากหลายในเยรูซาเล็มค่อนข้างแตกต่างไปจากความรับรู้ ที่มีเรื่องยิงใส่กันระหว่างกองกำลังอาหรับในเขตปาเลสไตน์กับทหารอิสราเอล เพราะศาสนาหลักในเมืองแห่งนี้ทั้ง 3 อันได้แก่ ยูดาย คริสต์ และอิสลาม ต่างดำรงอยู่ร่วมกันอย่างค่อนข้างสงบ ไม่ว่าความขัดแย้งจะหายไปแล้วจริงๆหรือมันถูกเก็บและกดไว้ (ซึ่งผมเห็นว่าเป็นกรณีหลังเสียมากกว่า) แต่สิ่งที่ได้รับประโยชน์ คือ ภาคเศรษฐกิจเกี่ยวกับศรัทธา โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และศาสนพานิชย์ ที่เติบโตเป็นอย่างดีเมื่อเมืองมีความสงบ แต่บางทีถ้าขาดการดูแลจัดการที่ดีพอ ก็อาจกลายเป็นปัญหาใหม่ เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาผู้อพยพ ฯลฯ ซึ่งในยุคโลกาภิวัตน์ สิ่งเหล่านี้พร้อมจะทะลุทะลวงเข้าไปในทุกประเทศได้เสมอ


ติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับ "ศรัทธา" ในเยรูซาเล็ม ตอนที่ 2 ได้ในวันพุธหน้า 4 ทุ่มตรง ทาง ThaiPBS ครับ

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

เสวนา “ตามรอยทัพพระเจ้าตาก”


พระบรมรูปพระเจ้าตากสินและทหารคนสนิท ประดิษฐานที่อู่ต่อเรือฯ เสม็ดงาม จันทบุรี
ถ่ายภาพ: Poii 

เมื่อช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมฟังการเสวนาในหัวข้อเรื่อง "ตามรอยทัพพระเจ้าตาก" ณ อู่ต่อเรือฯ บ้านเสม็ดงาม จันทบุรี ซึ่งได้ทราบข่าวผ่านทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) อย่างเฟซบุ๊ค (Facebook) ของทางหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ที่ทางผู้จัด คือ คุณสุชาติ กนกรัตน์มณี ได้แชร์กิจกรรมดีๆนี้ไว้

เมื่อสำรวจสายตาไปดูรายชื่อวิทยากรแล้ว คาดไว้ได้เลยว่าคงไม่ใช่งานเสวนาธรรมดาๆ แน่ๆ เพราะรายชื่อนั้นนำโดยนักประวัติศาสตร์อาวุโสชั้นแนวหน้าของประเทศอย่าง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ บุนนาค ส่วนอีกสองท่าน คือ คุณกุณฑล วัฒนวีร์ และ ดร.จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์ ทราบในภายหลังว่า ท่านแรกเป็นมัคคุเทศน์ผู้เชี่ยวชาญสถานที่ทางฝั่งธนฯ อย่างมาก และเขียนหนังสือเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมาแล้ว 2 เล่ม ส่วนท่านหลังเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ไฟแรงจากอักษณศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เวลานัดหมาย คือ บ่ายโมงตรง แต่เวลาที่เริ่มต้นจริงก็ล่วงเลยไปเกือบจะบ่ายสองโมงเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผู้ดำเนินการเสวนาซึ่งก็คือผู้จัดนั่นเองก็เริ่มประเด็นแรกว่าด้วย “การศึกษาประวัติศาสตร์” ซึ่งตัวผู้เขียนถือว่าสำคัญมาก เพราะนี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจสรุปเป็นได้ ดังนี้

1. ต้อง “เลือกใช้และเลือกเชื่อ” ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เนื่องจากหลักฐานประวัติศาสตร์นั้น บางครั้งก็ไม่ได้ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป และแม้แต่หลักฐานทุกชิ้นให้ข้อมูลเหมือนๆกัน ก็ต้องวิพากษ์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นด้วย

2. ผู้ศึกษาต้องตัด “อคติ” (bias) ส่วนตัวออกไป กล่าวคือ ต้องมีความเป็นกลาง ซื่อสัตย์ต่อหลักฐานที่มี โดยอคตินั้นอาจมาจากเชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ แต่ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับประเด็นสมเด็จพระเจ้าตากสินที่สุดคงเป็น “ศรัทธา” ที่อาจทำให้ผู้ศึกษาไขว้เขวไปได้

วิทยากรทั้ง 3 ท่าน และพิธีกรในงาน
ถ่ายภาพ: Poii
ประเด็นต่อมา คือ การวิเคราะห์ว่า “ทำไมสมเด็จพระเจ้าตากสินจึงเลือกมาตั้งหลักที่จันทบุรี” เรื่องนี้วิทยากรทั้งสามท่านเห็นตรงกันในเรื่อง “เศรษฐกิจการค้า” เนื่องจากจันทบุรีเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญทางตะวันออกของกรุงศรีอยุธยามาโดยตลอด ซึ่งผลจากจุดเด่นนี้ส่งผลอื่นๆอีก คือ เป็นแรงดึงดูดผู้คนหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยเฉพาะชาวจีนและชาวมุสลิม ที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่กองทัพกู้ชาติของสมเด็จพระเจ้าตากสินอย่างมาก

อีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง คือ เรื่อง “ยุทธศาสตร์” เนื่องจากสงครามคราวเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 นั้นส่งผลให้หัวเมืองทั้งทางภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป มีเพียงทางอีสานกับตะวันออก-เขมรเท่านั้นที่อยู่รอดปลอดภัย อย่างไรก็ดี หัวเมืองทางอีสานมีข้อจำกัดในด้านการรวบรวมไพร่พล เนื่องจากบ้านเมืองค่อนข้างกระจายตัวอย่างกว้างขวาง ผิดกับทางตะวันออกที่หัวเมืองเรียงต่อกันไปตามชายฝั่งง่ายต่อกันเดินทางรวบรวมกำลังพล

ส่วนในประเด็นสุดท้าย ได้แก่ “พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ซึ่งเรื่องนี้ วิทยากรพยายามชี้ให้เห็นมุมที่ต่างไปของพระองค์ ซึ่งมักถูกฉายให้เห็นเพียงความเป็นนักรบที่หาญกล้าเท่านั้น เช่น วิสัยทัศน์ในการเลือกเมืองที่จะลงหลักปักฐานใหม่ที่กรุงธนบุรี การเสียสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเลี้ยงดูพสกนิกรที่กำลังเดือดร้อนไปทั่ว การใช้ศาสนาในการกล่อมเกลาจิตใจประชาชน รวมทั้งในด้านวรรณกรรมที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง ซึ่งแม้คุณค่าด้านวรรณศิลป์อาจจะเทียบกับงานของเหล่ากวีเอกหลายๆคนไม่ได้ แต่ก็สอดแทรกเรื่องของการสั่งสอนโดยทางอ้อมซึ่งเข้ากับสภาพการณ์มากกว่า

ที่นำมาลงเป็นเพียงประเด็นหลักๆ เท่านั้น เพราะจริงๆแล้วมีประเด็นเล็กประเด็นน้อยอีกมากที่ไม่ได้กล่าวในที่นี้ และก่อนจบการเสวนา วิทยากรได้สรุปให้เห็นความสำคัญของช่วงเวลาสิบปีเศษในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน หรือสมัยธนบุรีอย่างน่าสนใจ ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์นี้เป็นช่วงส่งต่อหรือเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ จากอยุธยามาเป็นรัตนโกสินทร์ “หากไม่มีธนบุรี ก็ไม่มีรัตนโกสินทร์”

ด้วยเวลาอันจำกัดทำให้การแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างวิทยากรกับผู้ร่วมเสวนาเกิดขึ้นน้อยไปสักหน่อย แต่ก็ต้องขอบคุณผู้จัดงานที่เห็นคุณค่าของ “ประวัติศาสตร์” และจัดงานนี้ขึ้นมา ขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่กรุณาสละเวลามาให้ความรู้ ขอบคุณ ทีมงานจากหอจดหมายเหตุ จันทบุรี ที่ทำงานหนักเพื่อประชาชนโดยตลอด ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ คุณกุณฑล วัฒนวีร์ สำหรับหนังสือดีๆ ขอบคุณ อาจารย์ปิยนาถสำหรับแรงบันดาลใจให้ทำงานประวัติศาสตร์ต่อไป และเหนืออื่นใด เพื่อนร่วมทางที่บุกตะลุยไปทุกที่ทุกแห่งอย่างรู้ใจ ^ ^

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

ชำแหละแนวคิดแก้ ม.112: ว่าด้วยความเป็นสากล/ตะวันตก และการเป็น "นิติรัฐ" ที่แท้จริง


"มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี"


คือไม่ได้ว่า ม.112 แตะไม่ได้ แต่เบื่อนักกฎหมายที่หัวคิดแข็งทื่อ คิดแต่จะต้องเป็นสากล เปรียบเทียบไทยแลนด์กับอีกหลายๆ แลนด์แล้วบอกว่าเราต้องปรับปรุง กฎหมายเรามันยังไม่ดี โอเคกฎหมายมันมีส่วนที่เป็นปัญหาจริงก็ว่ากันไป (โทษสูงไป เกิดการฟ้องร้องอย่างไร้ขอบเขต ฯลฯ) แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือทำไมเราต้องเดินตามตูดชาติอื่นไปเสียหมด ทำไมแก้กฎหมายไทยต้องไปลอกเมืองนอก ลอกแบบ (pattern) แต่เนื้อหาภายในเรามันไม่ใช่ เหมือนทุกวันนี้ที่ประชาธิปไตยของเรามันเริ่มจากการลอกฝรั่ง ผลก็เลยออกมาเละเพราะข้างในมันไม่ได้เป็นแบบที่ลอกมา หรือเพราะเส้นทางเกือบ 80 ปีของประชาธิปไตยไทยไม่ได้ทำให้คนไทยรู้จักตัวเอง และคิดแก้ปัญหาเองได้เลย

เอาเป็นว่า ถ้าเหตุุผลในการแก้กฎหมายมาตรานี้ของนักกฎหมายกลุ่มนี้อยู่ที่ประเด็นอยากเป็นสากล ผมว่ากลับไปคิดดูให้ดีๆ จะบอกว่าประเทศไทยเป็นมนุษย์ต่างดาวของโลกก็เอาเหอะ แต่ทุกประเทศมีอัตลักษณ์ มีตัวตน มีความแตกต่างกันมากมาย แล้วทำไมคุณถึงยังคงความแข็งทื่อทางความคิดแล้วบอกให้เราพุ่งตรงไปสู่จุดหมาย (สากล/ตะวันตก) เท่านั้น นี่มันความคิดแบบทำให้เป็นสมัยใหม่นิยม (Modernizationism) ชัดๆ ที่ต้องลอกคราบจารีตแบบเดิมออกให้หมด แล้วเอารูปแบบฝรั่ง (ที่ถูกตีตราว่าพัฒนา/ทันสมัย) มาสวมแทน คุณก็เห็นแล้วว่าทุนนิยม-อุตสาหกรรม สร้างปัญหาอย่างไรบ้างในโลกนี้ หรือเรื่องรัฐชาติ (Nation-State/รัฐเดียว-ชาติเดียว) ได้สร้างความแตกร้าวภายในประเทศต่างๆ มากมายแค่ไหน ถ้าคุณเห็นศพกองอยู่ตรงหน้าแล้วยังเดินหน้าก้าวตามไปเป็นศพต่อไป ผมคงต้องค้านแนวของคนกลุ่มนี้

อ่อ อีกประเด็นคือความตื่นตระหนกต่อจำนวนนักโทษที่กระทำความผิดกฎหมายมาตรานี้เพิ่มสูงขึ้นมาก และกรณีล่าสุด คือ คดีอากง ขอเรียนตรงๆว่า ถ้าผู้ต้องหาเหล่านั้นทำผิดจริงแล้วจะเต้นทำไม คือ ต้องแยกเรื่องคนทำความผิดถูกจับออกจากความเห็นใจ หรือความเหมือนทางอุดมการณ์ให้ออก และต้องแยกออกจากเรื่องปัญหาของตัวบทกฎหมายด้วย เพราะนั่นเป็นเรื่องของการรณรงค์แก้ไขต่อไป ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่จะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวนักโทษ อาจารย์บางคนถูกฟ้องคดีนี้แต่หลุดก็มี เพราะอัยการเค้าไม่ได้ดำเนินการมั่วซั่วถึงขนาดที่ฝ่ายสนับสนุนให้แก้ ม.112 อ้าง ขอเถอะว่าอย่าจุดประเด็นแล้วพาหลงประเด็นเพื่อเป้าหมายของกลุ่มตนอีกเลย (ออกแนวไปให้ถึงเป้าหมายโดยไม่เลือกว่าจะต้องใช้วิถีทางอย่างไร) ไม่ว่าจะอากง อาแป่ะ อาซิ้ม หรืออีก 108000 อา ก็ไม่อาจอยู่เหนือกฎหมายได้ นี่สิ "นิติรัฐ" ที่แท้จริง 


บ้านริมถนน AH123
16/01/2555 
21:01 น.

วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555

วิธีทำอ้างอิงใน Word


ในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นรายงาน การวิจัย ทำวิทยานิพนธ์ ฯลฯ
ถ้าหากยกข้อความบางตอนจากงานเขียนของคนอื่น (จะว่าก็อปแปะก็เอาเหอะ)
ไม่ว่าจะงานเงียนในหนังสือ บทความ หรืออินเตอร์เน็ต
ควรต้องมีการอ้างอิง ซึ่งถือเป็นการให้ credit แก่ผู้เขียนด้วย
นอกจากนี้ หากเป็นข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง เช่น ข้อมูลที่เป็นตัวเลข ก็ควรมีการอ้างว่าเอามาจากไหน
ทั้งเพื่อให้ credit เจ้าของข้อมูล และเพื่อปกป้องงานเขียนของตัวเอง เช่น ถ้าข้อมูลผิด ก็จะได้อ้างได้ว่า
มันผิดมาตั้งแต่เจ้าของข้อมูลนู่นแล้ว (แม้จริงๆจะเป็นความผิดของเราด้วยที่เลือกข้อมูลไม่ดีมาใช้ 555)

การอ้างอิงมี 2 แบบใหญ่ๆ คือ แบบอ้างในเนื้อหาที่เรียกว่า "นามปี" เช่น (กา กา, 2554: 24) คือ (ชื่อ นามสกุล, ปีที่พิมพ์: หน้า)
กับแบบตัวเล็กๆท้ายหน้ากระดาษ เรียกว่า "เชิงอรรถ" หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า "ฟุ๊ตโน๊ต" (footnote) 

การอ้างอิงที่จะสอนวันนี้ คือ แบบที่ 2 หรือแบบฟุ๊ตโน๊ต นั่นเอง
โดยจะเป็นการอ้างอิงในโปรแกรม MS Word ver. 2007

วิธีการทำก็ง่ายมาก โดยเฉพาะ Word 2007 ขึ้นไป คือ

1. ให้คลิกที่ท้ายข้อความที่เรายกมาจากงานเขียนคนอื่นที่ต้องการอ้างอิง เพื่อให้มันมีแท่งกระพริบๆ


2. สังเกตแถบด้านบน จะพบแถบ References (word ภาษาไทยอาจใช้คำว่า การอ้างอิง)


3. เมื่อกดแถบนั้นแล้ว จะมีแถบด้านล่างให้เลือกเยอะแยะมาก แต่แบ่งเป็นส่วนๆ ให้ดูในส่วนที่ 2 ล่างสุดที่เขียนว่า Footnotes (ถ้าเป็น word ไทยคงใช้คำว่า เชิงอรรถ) ให้กดตรงลูกศรท้ายคำนั้น


4. พอกดแล้วจะมีหน้าต่างขึ้นมา ให้เลือกปุ่มซ้ายสุด คือ Insert 


ส่วนตัวเลือกอื่นๆ ที่สำคัญ จะอธิบายสั้นๆ ดังนี้

- Location -> Footnote เป็นการให้เลือกว่าจะให้เชิงอรรถเราไปโผล่ที่ไหน ซึ่งก็คือ bottom of page หรือท้ายหน้ากระดาษ

- Format -> Number format ก็คือ เลือกจะใช้ชุดตัวเลขแบบไหน อาจเป็นเลขไทย (๑, ๒, ๓, ...) เลขอารบิก (1, 2, 3, ...) เป็นตัวอักษารภาษาอังกฤษ ซึ่งในที่นี้เป็นเลขอารบิก

- Format -> Start at คือ จะให้ตัวเลขมันเริ่มที่เท่าไร ในที่นี้เลือก 1 แต่ถ้าเราแยกไฟล์เป็นบทที่ 1, บทที่ 2, ..... ก็สามารถทำให้เลขมันต่อกันได้ด้วยเมนูนี้ 

5. พอกด Insert แล้ว ก็จะมีตัวเลขขึ้นมาหลังข้อความที่เราจะอ้าง แล้วก็มีตัวเลขอีกที่นึงด้านท้ายกระดาษ


6. ทีนี้ก็ถึงขั้นตอนสำคัญ คือ การเขียนอ้างอิงที่มา ซึ่งคล้ายกับการเขียนบรรณานุกรม แต่เปลี่ยนจุด (.) เป็นจุลภาคหรือคอมมา (,) ทั้งหมด และต้องระบุหน้าด้วย เช่น

บรรณานุกรม -> กา กา. กากากา. กรุงเทพฯ: กากา, 2554.  

อ้างอิง -> กา กา, กากากา, (กรุงเทพฯ: กากา), 2554, 3.

และที่สำคัญสำหรับนักเรียน คือ การอ้างจากอินเตอร์เน็ต เพราะห้องสมุดคงไม่มีหนังสือเพียงพอ ซึ่งการในเว็บไม่มีหน้า ปีก็หายาก เลยใส่ข้อมูลเป็น ชื่อคนแต่ง ชื่อเรื่อง เข้าถึงวันที่ และจากเว็บอะไร เท่านี้พอ

บรรณานุกรม -> กา กา. กากากา, เข้าถึงเมื่อ 11 กันยายน 2554 จาก http://kookkai.co.th.

อ้างอิง -> กา กา, กากากา, เข้าถึงเมื่อ 11 กันยายน 2554 จาก http://kookkai.co.th.

7. จากนั้นก็ปรับแบบฟ้อนต์ และขนาดฟ้อนต์ให้เข้ากับเนื้อหา โดยเนื้อหาปกติจะใช้ฟ้อนต์ขนาด 16 ในส่วนอ้างอิงก็จะใช้ขนาด 14

8. ถ้าแหล่งข้อมูลเป็นอันเดียวกัน ใช้คำว่า เรื่องเดิม หรือ เรื่องเดียวกัน ได้เลย


หวังว่าคงไม่ยากเกินไปครับ