พระบรมรูปพระเจ้าตากสินและทหารคนสนิท ประดิษฐานที่อู่ต่อเรือฯ เสม็ดงาม จันทบุรี ถ่ายภาพ: Poii |
เมื่อช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสไปร่วมฟังการเสวนาในหัวข้อเรื่อง "ตามรอยทัพพระเจ้าตาก" ณ อู่ต่อเรือฯ บ้านเสม็ดงาม จันทบุรี ซึ่งได้ทราบข่าวผ่านทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) อย่างเฟซบุ๊ค (Facebook) ของทางหอจดหมายเหตุแห่งชาติ จันทบุรี ที่ทางผู้จัด คือ คุณสุชาติ กนกรัตน์มณี ได้แชร์กิจกรรมดีๆนี้ไว้
เมื่อสำรวจสายตาไปดูรายชื่อวิทยากรแล้ว
คาดไว้ได้เลยว่าคงไม่ใช่งานเสวนาธรรมดาๆ แน่ๆ
เพราะรายชื่อนั้นนำโดยนักประวัติศาสตร์อาวุโสชั้นแนวหน้าของประเทศอย่าง
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ปิยนาถ บุนนาค ส่วนอีกสองท่าน คือ คุณกุณฑล วัฒนวีร์ และ ดร.จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์
ทราบในภายหลังว่า ท่านแรกเป็นมัคคุเทศน์ผู้เชี่ยวชาญสถานที่ทางฝั่งธนฯ อย่างมาก
และเขียนหนังสือเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับสมเด็จพระเจ้าตากสินมาแล้ว 2 เล่ม ส่วนท่านหลังเป็นอาจารย์ประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ไฟแรงจากอักษณศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เวลานัดหมาย คือ บ่ายโมงตรง
แต่เวลาที่เริ่มต้นจริงก็ล่วงเลยไปเกือบจะบ่ายสองโมงเสียแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา
ผู้ดำเนินการเสวนาซึ่งก็คือผู้จัดนั่นเองก็เริ่มประเด็นแรกว่าด้วย “การศึกษาประวัติศาสตร์”
ซึ่งตัวผู้เขียนถือว่าสำคัญมาก
เพราะนี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในวิชาประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจสรุปเป็นได้
ดังนี้
1. ต้อง
“เลือกใช้และเลือกเชื่อ” ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เนื่องจากหลักฐานประวัติศาสตร์นั้น บางครั้งก็ไม่ได้ให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกันเสมอไป
และแม้แต่หลักฐานทุกชิ้นให้ข้อมูลเหมือนๆกัน ก็ต้องวิพากษ์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลนั้นด้วย
2. ผู้ศึกษาต้องตัด
“อคติ” (bias) ส่วนตัวออกไป กล่าวคือ ต้องมีความเป็นกลาง ซื่อสัตย์ต่อหลักฐานที่มี
โดยอคตินั้นอาจมาจากเชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ แต่ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับประเด็นสมเด็จพระเจ้าตากสินที่สุดคงเป็น
“ศรัทธา” ที่อาจทำให้ผู้ศึกษาไขว้เขวไปได้
วิทยากรทั้ง 3 ท่าน และพิธีกรในงาน ถ่ายภาพ: Poii |
อีกเหตุผลหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึง
คือ เรื่อง “ยุทธศาสตร์” เนื่องจากสงครามคราวเสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 นั้นส่งผลให้หัวเมืองทั้งทางภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก
และภาคใต้ได้รับผลกระทบมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป มีเพียงทางอีสานกับตะวันออก-เขมรเท่านั้นที่อยู่รอดปลอดภัย อย่างไรก็ดี หัวเมืองทางอีสานมีข้อจำกัดในด้านการรวบรวมไพร่พล
เนื่องจากบ้านเมืองค่อนข้างกระจายตัวอย่างกว้างขวาง ผิดกับทางตะวันออกที่หัวเมืองเรียงต่อกันไปตามชายฝั่งง่ายต่อกันเดินทางรวบรวมกำลังพล
ส่วนในประเด็นสุดท้าย
ได้แก่ “พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้าตากสิน” ซึ่งเรื่องนี้
วิทยากรพยายามชี้ให้เห็นมุมที่ต่างไปของพระองค์ ซึ่งมักถูกฉายให้เห็นเพียงความเป็นนักรบที่หาญกล้าเท่านั้น
เช่น วิสัยทัศน์ในการเลือกเมืองที่จะลงหลักปักฐานใหม่ที่กรุงธนบุรี การเสียสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อเลี้ยงดูพสกนิกรที่กำลังเดือดร้อนไปทั่ว
การใช้ศาสนาในการกล่อมเกลาจิตใจประชาชน รวมทั้งในด้านวรรณกรรมที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง
ซึ่งแม้คุณค่าด้านวรรณศิลป์อาจจะเทียบกับงานของเหล่ากวีเอกหลายๆคนไม่ได้
แต่ก็สอดแทรกเรื่องของการสั่งสอนโดยทางอ้อมซึ่งเข้ากับสภาพการณ์มากกว่า
ที่นำมาลงเป็นเพียงประเด็นหลักๆ
เท่านั้น เพราะจริงๆแล้วมีประเด็นเล็กประเด็นน้อยอีกมากที่ไม่ได้กล่าวในที่นี้ และก่อนจบการเสวนา
วิทยากรได้สรุปให้เห็นความสำคัญของช่วงเวลาสิบปีเศษในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสิน
หรือสมัยธนบุรีอย่างน่าสนใจ ช่วงเวลาในประวัติศาสตร์นี้เป็นช่วงส่งต่อหรือเปลี่ยนผ่านที่สำคัญ
จากอยุธยามาเป็นรัตนโกสินทร์ “หากไม่มีธนบุรี ก็ไม่มีรัตนโกสินทร์”
ด้วยเวลาอันจำกัดทำให้การแลกเปลี่ยนความเห็นระหว่างวิทยากรกับผู้ร่วมเสวนาเกิดขึ้นน้อยไปสักหน่อย
แต่ก็ต้องขอบคุณผู้จัดงานที่เห็นคุณค่าของ “ประวัติศาสตร์” และจัดงานนี้ขึ้นมา ขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่กรุณาสละเวลามาให้ความรู้
ขอบคุณ ทีมงานจากหอจดหมายเหตุ จันทบุรี ที่ทำงานหนักเพื่อประชาชนโดยตลอด ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ
คุณกุณฑล วัฒนวีร์ สำหรับหนังสือดีๆ ขอบคุณ อาจารย์ปิยนาถสำหรับแรงบันดาลใจให้ทำงานประวัติศาสตร์ต่อไป
และเหนืออื่นใด เพื่อนร่วมทางที่บุกตะลุยไปทุกที่ทุกแห่งอย่างรู้ใจ ^ ^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น