วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลมฟ้ากับอารมณ์


ในเช้าที่ลมโชยพาอากาศเย็นสดชื่นมาสู่เมืองกรุง การตื่นขึ้นจากความฝันสู่โลกความเป็นจริงก็ดูจะคุ้มค่าขึ้นเป็นทวี อากาศหนาวที่มีแค่ปีละครั้ง และก็ไม่มีอะไรมายืนยันได้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าใด สามารถเป็นยากระตุ้นให้คนอยากลุกจากเตียงขึ้นมาสูดความเย็นเข้าปอด แต่บางคนก็เลือกที่จะอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ให้นานขึ้นอีกนิดจะดีกว่า

อากาศและฤดูกาลช่างส่งผลต่อมนุษย์อย่างยิ่งยวด จะมีสักกี่คนที่ทานทนต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม และอุณหภูมิรอบกายอย่างไร้ซึ่งความรู้สึก เพลงหลายเพลงบ่งบอกความรู้สึกที่เหล่าศิลปินจินตนาการถึงยามลม ฝน หรือแดด มาเยือน ซึ่งเพลงเหล่านี้บางครั้งเป็นเพียงตัวสะท้อน แต่บางครั้งได้ตอกย้ำความรู้สึกเช่นนั้นแก่ผู้ฟัง และอาจทำให้ความด้านชาต่อฝนฟ้าอากาศลดน้อยลงไป

ยามฝนพรำ เปียกแฉะ ชุ่มชื้น เละเทะ เย็นฉ่ำ ฯลฯ หลากคนก็หลากความเห็นต่อวันเวลาดังกล่าว เพลงหลายเพลงบ่งบอกความเหงาของทั้งคนโสดและไม่โสดยามฝนตก เช่น “วันนี้ฝนตกไหลลงที่หน้าต่าง เธอคิดถึงฉันบ้างไหมหนอเธอ” (Loso ฝนตกที่หน้าต่าง) บางเพลงไม่แค่เหงายามฝนตก แต่ขอให้ฝนหยุดมันเสียเลย “ขอวอนเถอะฟ้าช่วยสั่งให้ฝนหยุด ก็หัวใจมันชำรุดไม่มีสักคนเคียงข้างกาย ฟ้าช่วยสั่งให้ฝนนั้นสลาย ก็มันเหงาจะตาย ไม่มีใครเลยสักคนให้กอด” (Dr.Fuu : โรคกลัวฝน) บางครั้งก็คิดถึงคนคนหนึ่งเวลาฝนตก “ก็เกี่ยวกับเธอเท่านั้นที่ฉันเป็นแบบนี้ ก็เธอคนดีไปแล้วไปลับไม่ย้อนมา เมื่อไม่มีเธอฉันเหงาทุกเวลา ไม่เกี่ยวกับฝนกับฟ้าหรือว่าเรื่องไหนเลย” (กะลา ไม่เกี่ยวกับฝน) บางทีก็น้อยใจขึ้นมายามฝนลงเม็ด “ฝนกำลังตกลงมา รู้ไหมว่ามีใครร้องไห้ คิดถึงจนแทบขาดใจ เกิดอะไรไม่โทรหากัน ฝนกำลังตกลงมา ฉันกำลังจิตใจฟุ้งซ่าน รู้ไหมว่าที่เธอทำฉันน้อยใจ” (ซาร่า ผุงประเสริฐ ฝน)

ฉากพระเอกหรือนางเอกเดินตากฝนเป็นฉากสุดคลาสสิคเมื่อนึกถึงเวลาอกหัก เศร้าใจ และอารมณ์ขุ่นมัวอื่นๆ ขณะเดียวกัน หากเปลี่ยนจากการเดินคนเดียวเป็นคู่กันแล้ว สถานการณ์ก็กลับตรงข้าม การเดินกุมมือภายใต้ร่มที่กันฝนได้บ้างไม่ได้บ้างช่างสุดแสนโรแมนติกในจินตนาการเสียจริง แม้นหากในความเป็นจริงแล้วอาจเป็นคนละเรื่องเลยก็ได้

เมื่อนึกถึงความรักยามฝนตก ก็ต้องมีหลายคนคิดอิจฉา เป็นไปไม่ได้ที่สมองจะไม่สั่งการใดๆ เมื่อเห็นใครสักคนมีคนเคียงข้างฝ่าฝนหรือหลบฝนด้วยกัน ความอิจฉาเกิดขึ้นเสมอเมื่อเห็นคนอื่นมีแล้วเราอยากจะมีบ้าง มันเป็นธรรมดาโลกของปุถุชนที่ไม่มีวันตัดได้ซึ่งโลภ โกรธ หลง เห็นไหมครับ หลากหลายอารมณ์จริงๆ ยามฝนพรำ แต่สุดท้าย เมื่อฝนหยุดมันก็จะเข้าสู่ความสดใส ต้นไม้ใบหญ้าต่างเขียวชอุ่ม ทุกสิ่งดูกลับมาสดใส (ลองนึกถึงตอนที่รถกำลังแล่นผ่านทุ่งหญ้าหรือทุ่งนาเขียวขจียามฝนหยุดใหม่ๆ พร้อมกับแสงแดดอ่อนๆ หลังฝนตก แม้จริงๆ แล้วมันจะเฉอะแฉะมากกว่าก็เถอะ) อย่างที่มักมีการเปรียบเปรยความสุขหลังความทุกข์ยากว่าเป็น “ฟ้าหลังฝน”

ฤดูที่น่าสนใจไม่น้อย และก็เกิดขึ้นอยู่ยามนี้คือ หน้าหนาว (oHhHH!! I feel it haa) บางคนตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อจะได้ใส่เสื้อกันหนาวสวยๆ บางคนขอเพียงให้มาสักทีเถอะ (เบื่อหน้าฝน) บางคนอยากไปแอ่วบนดอยหม่อนเมืองเหนือ ก็ว่ากันไป ฤดูหนาวเป็นตัวแทนของหลายสิ่งอย่าง ในดินแดนที่หนาวเย็นอย่างยุโรป อเมริกา และบางประเทศในเอเชีย เขาจะมีฤดูที่เรียกว่า Autumn หรือไทยเราเรียกว่า “ฤดูใบไม้ร่วง” ใบไม้จะเปลี่ยนสีก่อนทิ้งตัวลงสู่ผืนดิน ก่อนที่ดินแดนเหล่านั้นจะเข้าสู่ช่วงฤดูที่หนาวที่สุด (Winter) และต่อด้วย “ฤดูใบไม้ผลิ” (Spring) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนั้น ก็เหมือนกับการเปลี่ยนผ่านสิ่งต่างๆ ดุจดังใบไม้ใบชุดเก่าที่พร้อมจะร่วงโรยเพื่อหลีกทางให้กับใบอ่อนชุดใหม่ที่จะงอกเงยขึ้นมาแทนที่ในฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งฝรั่งมักมองว่าเปรียบเสมือน “การเกิดใหม่” (rebirth) ของสรรพสิ่งดังใบไม้ที่งอกเงย พร้อมกับต้นไม้ใบหญ้าที่กลับเติบโตขึ้นอีกครั้งหลังฤดูหนาวที่หิมะปกคลุมไปทั่ว

ว่าด้วยตัวแทนของหน้าหนาวกันบ้าง เพลงหลายเพลงบ่งบอกว่าหน้าหนาวมันช่วงยากเข็ญ อากาศที่เย็นยะเยือกกระตุ้นให้มนุษย์แสวงหาความอบอุ่นทั้งทางกายและทางใจ แต่เมื่อไม่มีคนรักหรืออกหักขาดคนดูแลก็จะออกมาแบบ “หนาวใจจะขาดใจเมื่อขาดเธอคนดี ขาดไอรักอบอุ่น ที่เคยได้มี ฉันเพียงต้องการเธอกลับมาหา โปรดเถิดหนา กลับมา มารักกัน” (Clash – หนาว) ไปจนถึงเพลงอมตะของวง Tea For Three อย่าง “ลมหนาว” ที่มีท่อนฮุกติดปากว่า “ลมหนาวมาเมื่อใด ใจฉันคงยิ่งเหงา คืนวันที่มันเหน็บหนาว ไม่รู้จะทนได้นานเท่าไร ลมหนาวมาเมื่อใด กลัวฉันกลัวขาดใจ เพราะหัวใจที่มันอ่อนไหว ไม่เคยได้รักจากใครเสียที”

ในความรู้สึกส่วนตัว ภาพของฤดูหนาวเป็นภาพที่สวยที่สุดในสายตาผม ความเย็นทำให้บางครั้งอะไรๆ ก็พร่ามัวลงบ้าง หมอกยามเช้าทำให้เราเหมือนอยู่ในดินแดนต้องมนตร์ แต่เป็นมนตร์ขลังที่เสกสรรค์ให้ความสวยงามเกิดขึ้น ผมชอบนึกถึงภาพแบบแนวสีอ่อนๆ แนวที่เราเห็นทั่วไปในร้านกาแฟแนวๆ แบบนั้น มันสบายตาไปหมด มันผลักดันให้เราอยากออกไปเจอโลกมากกว่าอยากจะอุดอู้อยู่ในห้อง ในใจเหมือนมีแต่ภาพแห่งความสุข ที่สุดแล้วมันก็อยู่ที่ว่าเราจะเลือกให้มันเป็นหนาวแบบไหน จะหนาวกายใจ หรือหนาวแต่กายแต่ใจอบอุ่นก็ต้องเลือกทางเดินของเรา

ฤดูสุดท้ายที่หลายๆ คนไม่อยากให้มาถึง คือ ฤดูร้อน บางคนสวนมาว่าจะบ่นทำไม เมืองไทยก็หน้าร้อนทุกวันแหละ แค่จะร้อนมากหรือร้อนน้อยก็แค่นั้น ก็ว่ากันไป แม้จะร้อนกาย แต่ใจบางคนก็เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสซะ “หัวใจมันเซทะเลคือจุดหมาย ได้ออกไปเจอคลื่นลมคงหายดี” (แพรว คณิตกุล เพิ่งจะรู้) แม้สุดท้ายมันจะไม่ได้ช่วยอะไรก็ตามเถอะ แถมยังพลอยคิดถึงมากขึ้นไปเสียอีก เพลงสุดคลาสสิคสำหรับหน้าร้อนอีกเพลง คือ ฤดูร้อน ของ Paradox ที่ก็ยังอยู่ในอารมณ์เศร้า แต่ดนตรีฟังสบาย “ยืนมองท้องฟ้าไม่เป็นเช่นเคย ฤดูร้อนไม่มีเธอ เหมือนก่อน เหมือนเก่า ขาดเธอ ” ส่วนอารมณ์สนุกก็ขาดไม่ได้สำหรับหัวใจที่ไม่เคยหลับใหลของมนุษย์ (แต่ก็ระวังเป็นลมแดดซะล่ะ) เพลงเรกเก้แนวๆ อย่าง Let’s go to the sea โดย Kai-Jo Brothers “Let’s go to the sea. Let’s go see the sun shine …” ซึ่งพาเรามามองโลกในอีกมุมหนึ่งแบบชีวิตเสรีในหน้าร้อน (หรือหน้าไหนๆ ก็ตาม) ลองทิ้งความทุกข์ไว้ข้างหลังแล้วมุ่งหน้าไปทะเลกันเถอะว่างั้น มันก็จริงที่เวลามีปัญหา คนเราก็มองหาทางออก ทางหนี ทางไล่ ไปจนถึงทางตาย แต่ไม่ค่อยแก้ปัญหา ปัญหามันก็เลยยังอยู่เมื่อกลับมา (หรือไม่กลับมาก็ตาม) อันนี้ก็คงต้องใช้วิจารณญาณเอาเอง

แม้อุณหภูมิรอบกายจะเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญคืออย่าทำให้อารมณ์เราเซไปกับมันมากนัก ความเปลี่ยนแปลงอย่างฟ้า ฝน แดด ลม มันก็เหมือนอารมณ์ที่แปรปรวนของคนเรา ถ้าเรายังปล่อยให้มันมีอิทธิพลต่อเราเกินไป บางทีความยุ่งยากอาจจะตามมาเสียเปล่าๆ และสุดท้าย ความคาดหวังต่อสภาพอากาศเป็นไปได้ยากเพียงใด ความคาดหวังต่อทุกสิ่งอย่างบนโลกนี้ก็ยากไม่น้อยไปกว่านั้น ขอให้ชีวิตภายใต้อากาศที่เปลี่ยนไปทุกวันจงประสบสุขทุกทั่วชั่วนิจเถิด 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น