บทความนี้จะพูดถึงความซ้ำกันของพลอตเรื่องในช่วงปลายรัชสมัยของกษัตริย์ 2 พระองค์ พระองค์หนึ่งคือกษัตริย์ที่คนไทยรู้จักดี ถือว่าอยู่ในความสนใจของคนไทยเรื่อยมา คือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช กับอีกพระองค์หนึ่งซึ่งคนไทยรู้จักพระองค์เพียงน้อยนิด ซึ่งช่วงเวลาอันสั้นของพระองค์มีผลอย่างมาก คือ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ นั่นเอง ทั้ง ๒ พระองค์สวรรคตอย่างเป็นปริศนา กษัตริย์พระองค์แรกถูกทำรัฐประหาร กับกษัตริย์อีกพระองค์นั้นถูกปลงพระชนม์ (พระองค์อยู่ในช่วงเวลาที่สยามเป็นประชาธิปไตยแล้ว ดังนั้น การสวรรคตของพระองค์จึงไม่ใช่การรัฐประหาร กล่าวคือ พระองค์ไม่ใช่ผู้มีอำนาจฝ่ายบริหารนั่นเอง) แต่การสวรรคตของทั้งสองไม่กระจ่างชัดจนวันนี้ ด้วยเหตุนี้ ข่าวลือที่มีพลอตเรื่องเดียวกันจึงเกิดขึ้น
พลอตเรื่องที่ซ้ำกัน
พลอตเรื่องที่ว่าก็คือ กษัตริย์ไทยทั้ง ๒ มิได้สวรรคตในเวลาที่สิ้นรัชกาล อันเนื่องมาจากทรงสละราชสมบัติให้กับผู้อื่น แล้วเสด็จไปประทับที่อื่นอย่างสงบในร่มพระศาสนา พระเจ้าตากสินทรงสละราชสมบัติให้แก่เจ้าพระยาจักรี ส่วนรัชกาลที่ ๘ สละราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระอนุชาอันได้แก่ในหลวงองค์ปัจจุบัน พระองค์แรกทรงใช้ชีวิตที่เหลือ ณ ถ้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนอีกพระองค์เสด็จไปทางเหนือสู่จังหวัดเชียงใหม่ ปฏิบัติตนเยี่ยงภิกษุในป่าอันห่างไกลผู้คน จะเห็นได้ว่าพลอตเรื่องของทั้ง ๒ พระองค์นั้นตรงกันอย่างน่าประหลาดใจ แม้ในตัวเนื้อหาจะมีความพิเศษพิสดารต่างกันไปบ้าง เหตุการณ์ของทั้ง ๒ พระองค์เกิดในเวลาต่างกันร้อยกว่าปี แต่เราไม่ทราบเลยว่าผู้คิดพลอตเรื่องนี้อยู่ในช่วงเวลาใด และเรื่องใดเกิดก่อนกัน หรือเรื่องใดมีอิทธิพลต่อเรื่องใด แม้พระเจ้าตากสินจะสวรรคตไปก่อนหน้า แต่พลอตเรื่องนี้ก็อาจไม่ได้เกิดก่อนพลอตเรื่องของในหลวงอานันท์ก็เป็นได้ ข้อนี้คงจะเข้าใจได้ดีหากทราบถึงจุดประสงค์ของการสร้างพลอตเรื่องเช่นนี้เสียก่อน
แน่นอนว่าเราคงไม่สามารถรู้จุดประสงค์ของผู้สร้างพลอตเรื่องอย่างแน่นอน แท้จริงได้ แต่หากเราพิจารณาถึงประโยชน์ที่เกิดแก่บุคคลต่างๆ เราก็อาจจะพอรู้ถึงจุดประสงค์และผู้เกี่ยวข้องกับการสร้างพลอตเรื่องนี้ได้ แล้วพลอตเรื่องเช่นนี้นั้นส่งผลดีและเสียต่อใคร?
จุดประสงค์ของการสร้างพลอตเรื่อง ใครสร้าง และเรื่องไหนมาก่อน?
เมื่อพิจารณาถึงผลดีนั้น ที่พอจะนึกได้อย่างง่ายที่สุดก็คงหนีไม่พ้นตกอยู่ที่ตัวผู้สืบทอดราชบัลลังก์นั่นเอง ที่จะทรงมีความชอบธรรมอย่างสูงในการเสด็จเถลิงสวรรยราชสมบัติ หากเป็นคำอธิบายแบบเก่าที่เป็นที่ยอมรับในหมู่นักวิชาการทั้งหลายนั้น สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ ก็จะทรงมีมลทินอย่างเลี่ยงไม่ได้จากการที่ทรงยึดอำนาจจากสมเด็จพระเจ้าตากสิน ขณะที่ในหลวงองค์ปัจจุบันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการปลงพระชนม์พระเชษฐาของพระองค์เอง แต่ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคำอธิบายตามพลอตเรื่องของข่าวลือที่มีผู้เชื่อถืออยู่พอสมควรนั้น กษัตริย์ผู้มาทีหลังทั้ง ๒ จะกลายเป็นผู้แบกรับภาระอันหนักอึ้งแทนกษัตริย์ทั้ง ๒ ที่ทรงสละราชสมบัติตัดช่องน้อยแต่พอตัวไปเสียก่อน ทั้งความชอบธรรมก็จะมีในระดับที่สูง เพราะการขึ้นครองราชย์นั้นเกิดขึ้นด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งฝ่ายที่จากไป และฝ่ายที่กำลังจะขึ้นสู่อำนาจ
แต่ก็ใช่ว่าฝ่ายที่ไปจะไม่มีผลประโยชน์จากพลอตเรื่องเช่นนี้ พระเจ้าตากสินทรงถูกข้ออ้างในการทำรัฐประหารของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯเพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำรัฐประหารเล่นงานอยู่ไม่ใช่น้อย ทั้งเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินที่ล้มเหลว และเรื่องวิกลจริต ดังนั้น การสละราชสมบัติของพระองค์ก็อาจมองได้ว่าทรงเสียสละอำนาจที่ทรงมีอยู่เต็มมือทิ้งไปเพื่อให้ผู้มีความสามารถขึ้นมาทำหน้าที่แทน โดยที่ไม่ใช่แม้แต่ลูกหลานของพระองค์ด้วยซ้ำ ซึ่งย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีของพระองค์อย่างมาก ส่วนในหลวงอานันท์ก็มีข่าวลือในเชิงเสียหายอยู่บ้าง เช่น ทรงทะเลาะกับพระราชมารดา ทรงรักอยู่กับสาวชาวต่างชาติ (สวิส) และจะทรงเล่นการเมือง พลอตเรื่องนี้ดูจะไม่ได้สร้างผลดีแก่ในหลวงอานันท์เท่าไรนัก เพราะแม้จะมีข่าวลือพวกนี้ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบที่เสียหายร้ายแรงดังเช่นกรณีของสมเด็จพระเจ้าตากสิน ดังนั้น พลอตเรื่องสละราชสมบัติจึงไม่ได้ให้ภาพความเสียสละเท่ากรณีของพระเจ้าตากสินเลย ทั้งอาจเป็นผลเสียในแง่สละราชสมบัติหนีไปเพราะทรงไม่พอใจคนอื่นรอบข้างจนดูเป็นคนเอาแต่ใจ ซึ่งก็ดูขัดกับพลอตเรื่องที่ว่าทรงหนีไปบวช เพราะเรื่องที่ทรงมีปัญหานั้นล้วนเป็นเรื่องทางโลกทั้งสิ้น คงไม่มีใครคิดว่าจะทรงต้องการหนีทางโลกไปตั้งแต่พระชนม์ยังน้อย
จากที่วิเคราะห์มานั้น
จะเห็นได้ว่าพลอตเรื่องนั้นดูจะสร้างผลดีเสียมากกว่า โดยเฉพาะในกรณีสมเด็จพระเจ้าตากสินที่ทั้งสองฝ่ายกำผลประโยชน์ไปด้วยกัน แต่ถ้าดูให้ดีแล้ว ผู้ที่น่าจะได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่กว่าน่าจะเป็นผู้มาทีหลัง คือทั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และในหลวงองค์ปัจจุบัน เพราะแน่นอนว่าความชอบธรรมในการขึ้นครองราชย์คงเทียบไม่ได้กับภาพลักษณ์เล็กๆน้อยๆที่อาจไม่มีคนสนใจด้วยซ้ำไป ดังนั้น จุดประสงค์ของการสร้างพลอตเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับความชอบธรรมในการขึ้นครองราชของกษัตริย์ ๒ พระองค์ในราชวงศ์จักรี คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และในหลวงภูมิพล รัชกาลปัจจุบัน ซึ่งถ้าเป็นจุดประสงค์เช่นนี้จริงแล้ว ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลอตเรื่องคงหนีไม่พ้นฝ่ายของผู้มาทีหลังหรือครองราชบัลลังก์ต่อนั่นเอง แต่นั่นก็เป็นเพียงการวิเคราะห์คร่าวๆเท่านั้นเพื่อให้มุมมองในแง่ที่ว่าพลอตเรื่องนี้มีการเมืองแฝงอยู่ด้วย
แต่พลอตเรื่องของใครเกิดก่อนกันอันเกี่ยวเนื่องกับมิติทางเวลานั้น ต้องอาศัยการศึกษาอย่างลึกซึ้ง แต่ถ้าจะให้วิเคราะห์แล้ว ก็เป็นไปได้ทั้ง ๒ กรณี คือ ถ้ากรณีในหลวงอานันท์เกิดก่อน ก็ต้องเป็นช่วง ๒๔๘๙ (ปีที่รัชกาลที่ ๘ สวรรคต) เป็นต้นไป ซึ่งฝ่ายผู้ฝักใฝ่ นับถือศรัทธาในตัวของพระเจ้าตากสินเห็นดีเห็นงามจึงนำไปใช้บ้าง ทั้งมีหลักฐานอะไรบริเวณนครศรีธรรมราชก็จับมาโยงเข้าเสียจนดูประหนึ่งเป็นกระแสประวัติศาสตร์อีกกระแสหนึ่ง ส่วนอีกแบบหนึ่ง คือ เป็นพลอตของสมเด็จพระเจ้าตากสินก่อนแล้วกรณีของในหลวงอานันท์ได้อิทธิพลไป กรณีเช่นนี้ก็คือ พลอตของสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นเกิดมาก่อน ๒๔๘๙ กล่าวคือ พลอตเรื่องเช่นนี้นั้นดำรงอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น และเมื่อในหลวงอานันท์สวรรคตอย่างกระทันหันและอธิบายได้ยากแล้ว ข่าวลือเช่นนี้จึงกลับมาโดยสร้างประโยชน์ให้แก่การขึ้นครองราชย์ของในหลวงองค์ปัจจุบัน
แต่เมื่อเราคำนึงถึงความจำเป็นในการสร้างพลอตเรื่องเช่นนี้แล้ว การสร้างพลอตเรื่องพระเจ้าตากก่อน คือ พลอตเรื่องเช่นนี้มีมานานแล้ว (ก่อน ๒๔๘๙) ก็ดูเป็นไปได้น้อยกว่า แน่นอนว่า สถาบันกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีนั้นค่อนข้างมีเสถียรภาพอย่างสูง และค่อนข้างปลอดภัยจากการแย่งชิงราชสมบัติ ไม่เหมือนช่วงกรุงศรีอยุธยาที่การรัฐประหารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง (แม้แต่กรณีสมเด็จช่วง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ผู้ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการก็แสดงความจงรักภักดี ไม่ได้คิดเป็นกษัตริย์เอง มิเช่นนั้นเราก็อาจได้มีกษัตริย์เชื้อสายเปอร์เซียดูบ้าง) อีกเหตุผล คือ เมื่อพิจารณาถึงการรู้หนังสือของประชาชนแล้ว ก่อนการศึกษาอย่างตะวันตกจะเข้ามาช่วงรัชกาลที่ ๕ นั้น ปัญญาชนไทยที่เป็นสามัญชนอันจะเป็นกำลังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นก็น้อยหรือไม่มีเลย ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรให้พลอตเรื่องเพื่อสร้างความชอบธรรมเช่นนี้เกิดขึ้น ซึ่งปัจจัยบริบททั้งหมดนี้ตรงข้ามกับในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ ๒๕ ซึ่งสถาบันกษัตริย์เข้าสู่ช่วงตกต่ำภายใต้การนำของคณะราษฎร โดยเฉพาะจอมพล ป. ที่ลดอำนาจสถาบันกษัตริย์ลงอย่างมาก ทั้งปัญญาชนไทยก็เริ่มมากขึ้น ดังนั้น พลอตเรื่องเช่นนี้ก็อาจจำเป็นต้องเกิดขึ้นมา โดยเฉพาะในกรณีที่ละเอียดอ่อนอย่างการสวรรคตของรัชกาลที่ ๘ ที่อาจทำให้พระอนุชาของพระองค์ครองราชย์โดยไร้ความชอบธรรม และเมื่อพลอตเรื่องเช่นนี้ ที่ดูแล้วน่าสบายใจต่อคนทั่วไปมากกว่าเกิดขึ้น ผู้ศรัทธาในตัวพระเจ้าตากสินจึงอาจนำมาเป็นแบบอย่างบ้าง โดยนำไปเชื่อมกับนครศรีธรรมราช มีอะไรที่น่าจะเกี่ยวก็จับโยงกันจนกลายเป็น กระแสประวัติศาสตร์ประชาชน คือ คิดเอาเอง ไม่ได้ตรวจสอบ หรือใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์เลย แต่แม้จะดูเป็นเรื่องเลื่อนลอย แต่ก็มีผู้เชื่อในความคิดเช่นนี้อยู่ไม่น้อย ซึ่งก็เรื่องทางจิตวิทยาที่คนคิดพลอตเรื่องอาจจะคาดไว้ก่อนแล้วหรือไม่ก็ได้ ที่สร้างเรื่องให้คนทั่วไปรู้สึกดีและเลือกที่จะเชื่อกับแนวคิดนี้มากกว่า หรืออีกแง่หนึ่งอาจเป็นฝ่ายราชวงศ์จักรีเองที่ต้องการสร้างความชอบธรรมให้แก่พระปฐมบรมกษัตริย์ของตนก็เป็นได้ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็คงเกิดในช่วงเวลาใกล้เคียงกับพลอตเรื่องของในหลวงอานันท์ คือ ผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพลอตของพระเจ้าตากสินอาจถูกสร้างเพื่อเป็นตัวอ้างอิงว่าเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งย่อมนำความน่าเขื่อถือที่เพิ่มขึ้นมาให้แก่เรื่องของในหลวงอานันท์ที่เกิดหลังกรณีพระเจ้าตากสิน
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเรื่องของใครเกิดก่อนกัน แต่แน่นอนว่าเราได้รู้ถึงการใช้การแก้ต่างโดยใช้ข่าวลือที่มีพลอตเรื่องอย่างดี ซึ่งความคิดนั้นอาจเกิดขึ้นนานมาแล้ว (กรณีพระเจ้าตากมาก่อน) หรือเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ (กรณีในหลวงอานันท์มาก่อน) ก็ได้ ซึ่งความคิดเช่นนี้ย่อมไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยตัวมันเอง แต่ย่อมมีบริบทที่ผลักดันมันอยู่ ทั้งการเกิดขึ้นของปัญญาชน ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ หรือแม้แต่ความตกต่ำของสถาบันกษัตริย์ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 25
สรุป
โดยสรุปแล้ว บทความนี้ต้องการชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าพลอตเรื่องนี้จะเกิดในเวลาใด หรือเกิดจากใคร (อาจไม่ใช่ฝ่ายที่มาทีหลังก็ได้) และไม่ว่าเรื่องใดจะเกิดก่อนกัน แต่พลอตเรื่องดังกล่าวนั้นมีนัยยะแฝงของเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยที่บางครั้งเราไม่ได้ตั้งคำถามต่อมัน จนหลายคนหลงเชื่อไปกับพลอตเรื่องที่ดูดี คือ ดูแล้วสมานฉันท์ ดูแล้วไม่เสียเลือดเสียเนื้อต่อกัน ซึ่งก็เป็นเรื่องทางจิตวิทยาอย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่ที่สุดแล้ว มันก็ได้สร้างประโยชน์เรื่องความชอบธรรมแก่การครองราชย์ของผู้มาทีหลังทั้ง ๒ พระองค์ไปแล้ว นอกจากนี้ บทความนี้ยังต้องการสะท้อนว่าการเกิดขึ้นของพลอตเรื่องดังกล่าวไม่ได้เกิดมาอย่างอิสระ แต่มีปัจจัยต่างๆที่ผลักดันให้เกิดขึ้นอย่างที่ได้วิเคราะห์ไปแล้ว ซึ่งบางทีอาจเป็นแค่การลอกเลียนพลอตจากหนังสือนิยายก็ได้ ดังนั้น พลอตเรื่องนี้ก็สามารถเป็นหน้าประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งได้เช่นกัน โดยที่ตัวมันเองก็คือความคิดของคนที่สร้างมันขึ้นมาภายใต้บริบทจำนวนหนึ่ง จนในที่สุด เมื่อมันเข้ากันได้กับคนจำนวนหนึ่ง มันจึงกลายเป็นกระแสประวัติศาสตร์ประชาชนที่ขาดการตรวจสอบ แต่ก็เป็นประโยชน์แก่ความชอบธรรมของคนบางกลุ่มบางพวกไปพร้อมๆกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น