ระหว่างที่กำลังพยายามตามรอยหลวงบุรุษประชาภิรมย์
(กี้ บุณยัษฐิติ) ในนิราศจันทบุรี-กรุงเทพฯ
โดยเฉพาะสถานที่ต่างๆตามลำน้ำจันทบุรีก่อนที่จะถึงบริเวณปากน้ำ (ซึ่งตอนนี้พบว่าชื่อบ้านนามเมืองและสถานที่ต่างๆหายไปจากความรับรู้ของคนปัจจุบันแล้วจำนวนหนึ่ง)
เลยต้องสอบค้นจากหนังสือ “จดหมายเหตุความทรงจำสมัยฝรั่งเศสยึดจันทบุรีฯ”
ของหลวงสาครคชเขต (ประทวน สาคริกานนท์) ซึ่งพอจะมีรูปภาพเก่าๆอยู่บ้าง
โดยเฉพาะภาพลำน้ำจันทบุรีบริเวณตัวเมือง
ภาพศาลที่อธิบายใต้ภาพว่า "ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินภายในเมืองเก่า" |
ว่าแล้วก็อ่านเนื้อความด้านข้าง ชื่อเรื่อง “การสร้างศาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” เพื่อความกระจ่าง ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ประวัติการสร้างศาล รวมทั้งได้ศึกษาความคิดของบุคคลเมื่อกาลก่อนราวครึ่งศตวรรษล่วงแล้ว เพราะเรื่องนี้ถูกรวมพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ ผู้เขียนจึงขอคัดมาลงไว้ (คัดจาก หนังสือประกอบการเขียนหมายเลข ๑) หน้า ๔๐๑-๔๐๓) ดังนี้
การสร้างศาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
เนื่องแต่ผลแห่งคุณงามความดีของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ได้พรรณนามานี้เอง
จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ชนชาวไทยโดยทั่วไปพากันระลึกถึงบุญคุณของพระองค์ที่ได้มีมาแต่หนหลัง
ดังนั้น เฉพาะในจังหวัดจันทบุรีขึงได้ปรากฏว่าได้มีศาลของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีสร้างไว้เป็นที่สักการบูชาอยู่ถึง
๒ ศาลด้วยกัน คือ
ศาลหนึ่งตั้งอยู่ใต้ต้นข่อยหน้าค่ายทหารเดี๋ยวนี้อยู่เคียงคู่กันกับศาลเทพรักษ์
(ศาลเจ้าหลักเมือง) ศาลหนึ่ง ศาลนี้ผู้เขียนสันนิษฐานว่า จะได้มีการสร้างขึ้นไว้ในสมัยเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงตีเมืองจันทบุรีได้แล้วในครั้งนั้น
แต่ศาลพระเจ้ากรุงธนบุรีนี้ได้ก่อสร้างด้วยไม้จึงต้องมีการชำรุดปรัก[๑] หักพังและต้องมีการซ่อมแซมเปลี่ยนแปลงกันมาหลายๆครั้ง
สภาพความเป็นอยู่ของศาลเดิมจึงไม่มีซากที่เหลืออยู่พอที่จะตรวจดูได้ และต่อมาเมื่อระหว่างปี
พ.ศ.๒๔๗๗ คณะนายทหารม้ากองพันที่ ๔ จันทบุรี ซึ่งย้ายมาจากสระบุรีมาประจำอยู่ที่จังหวัดจันทบุรีนี้แล้วก็ได้มีการสร้างศาล
ซึ่งมีความหมายบ่งชัดว่าเป็นศาลเจ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
และศาลเจ้าหลักเมืองลงไว้ในบริเวณอันเดียวกันขึ้นไว้อีกด้วย แต่ก็ทำขึ้นด้วยไม้และเป็นศาลขนาดเล็กๆเท่านั้น
ศาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีนอกจากที่จะปรากฏได้มีอยู่
ณ สถานที่นี้แต่กาลก่อนแล้ว ความได้ปรากฏว่าเมื่อระหว่างสมัยที่หม่อมเจ้าสฤษดิเดช
ชยางกูล เป็นสมุหเทศาภิบาลมณฑลจันทบุรี ท่านได้ทรงจัดการสร้างศาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีขึ้นไว้อีกศาลหนึ่ง
โดยได้มีการสร้างทำขึ้นในระหว่างปี พ.ศ.๒๔๖๓
คือศาลที่ตั้งอยู่หน้าค่ายทหารกองพันนาวิกโยธินบัดนี้
ซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับศาลที่กล่าวแล้ว ศาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ที่หม่อมเจ้าสฤษดิเดช เป็นผู้อำนวยการสร้างขึ้นใหม่ในภายหลังนี้
ผู้สร้างได้ขอแบบแปลนมาจากกรมศิลปากรเป็นชนิดแบบไทย
มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรมุข มีบันไดด้านหน้าและข้างรวมสามด้าน มีประตู ๓
ช่องหล่อด้วยคอนกรีต หลังคาประดับด้วยกระเบื้องสี ประตูประดับด้วยแก้วสี ภายในก่อเป็นแท่นติดกับศาลและสร้างพระรูปหล่อสีทองขึ้นประดิษฐานไว้บนแท่นนั้นด้วยองค์หนึ่ง
แต่ไม่ใช่เป็นพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยรูปพระไทยเทวาธิราช[๒]
ผู้เขียนได้เคยทูลถามหม่อมเจ้าสฤษดิเดชถึงพระรูปองค์นี้ว่ามีความหมายเพียงใด
ก็ได้รับคำชี้แจงจากท่านว่า ท่านมีความหมายจำนง[๓]
ให้รูปพระทัยเทวาธิราชนี้เป็นเทพเจ้าประจำพระองค์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี
ความประสงค์ของท่านในข้อนี้ท่านยังได้ให้ช่างจารึกอักษรไว้ที่ใต้แท่นบูชาว่า “เทวรูปสนองพระองค์พระเจ้ากรุงธนบุรี”
ไว้ด้วย ฉะนั้น นามศาลที่หม่อมเจ้าสฤษดิเดชได้ทรงสร้างไว้ในครั้งนั้นจนต่อมาถึงสมัยนี้จึงได้ว่าชื่อว่า
ศาลพระเจ้าตาก มาจนทุกวันนี้
การสร้างศาลหลังนี้ปรากฏว่าผู้สร้างได้สละทรัพย์ใช้จ่ายสิ้นเป็นจำนวนประมาณ
๓,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นทรัพย์สินของท่านเอง นับว่าศาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีหลังนี้การก่อสร้างทำประณีต[๔]
เรียบร้อยงดงามดี เพราะการสร้างทำก็ได้ทำกันอย่างถาวร ซึ่งจะได้ทนทานไปได้อีกนานปี
เมื่อกล่าวถึงศาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่จันทบุรีแล้วก็ทำให้ผู้เขียนระลึกว่า
ในพระนครกรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏว่าได้มีการสร้างศาล
หรือพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ในที่แห่งใดให้เป็นหลักฐานถาวร
คงได้ความแต่ว่าที่โรงเรียนนายเรือภายในบริเวณพระราชวังเดิม จังหวัดธนบุรี
ได้มีศาลของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก่อแห่งหนึ่ง แต่ผู้เขียนยังไม่มีโอกาสได้เห็น
จะมีรูปลักษณะเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบตลอด แต่ในกาลปัจจุบันนี้ปรากฏว่า
ทางฝั่งพระนครได้มีพระบรมรูปสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าขึ้นที่เชิงสะพานขึ้นแล้วแห่งหนึ่ง
ถ้าหากว่ารัฐบาลจะได้ดำริการสร้างทำพระบรมรูปของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไว้ทางฟากฝั่งธนบุรีในที่แห่งหนึ่งแห่งใดที่สมควรขึ้นสักแห่งหนึ่ง
เพื่อให้เป็นคู่กันกับพระบรมรูปสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าที่สร้างไว้แล้ว
ก็จะเป็นประโยชน์ให้ความรู้เห็นของบุคคลในภายหลังๆนี้เป็นอันมาก
ทั้งจะทำให้เป็นที่เชิดชูพระเกียรติยศเกียรติคุณ
และเป็นอนุสรณ์คำนึงถึงคุณความดีของพระองค์ท่านที่ได้ทรงกระทำไว้ให้แก่ประเทศชาติไทยเราสืบไปชั่วกาลนาน
ทั้งนี้เพราะจังหวัดธนบุรีในสมัยหนึ่งเคยเป็นราชธานี ซึ่งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้เป็นผู้ทรงสถาปนาไว้
จึงสมควรให้พระบาทภิธัยแลพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ท่านได้ปรากฏสถิต[๕] เสถียรสืบไป
ตามที่กล่าวมาก็ด้วยความหวังดี จึงขอบันทึกไว้ให้เป็นที่สังเกตในที่นี้ด้วย
_______________
เนื้อความทั้งหมดนี้ตอบโจทย์ของผมได้ทั้งหมด
คือ ๑) เมื่อเทียบลักษณะที่หลวงสาครคชเขตระบุไว้กับศาลทรงจัตุรมุข (ต่อไปจะเรียก
ศาลหลังเก่า) ในรูปนั้น ก็พอจะสรุปได้ว่าเป็นศาลที่หม่อมเจ้าสฤษดิเดชสร้างขึ้นในระหว่าง
พ.ศ.๒๔๖๓ ซึ่งคงหมายความว่าได้เริ่มสร้างและสร้างเสร็จในปีนั้นเอง ส่วนวันเวลาอาจต้องไปสอบค้นภาคสนามที่ตัวศาลนี้ว่ามีฤกษ์หรือจารึกระบุไว้หรือไม่
๒) เมืองเก่า จากคำบรรยายใต้รูปว่า “ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินภายในเมืองเก่า” ก็คือ
เมืองจันทบุรีเก่าที่มีแนวคันดินและแนวคูเมืองอยู่ภายในค่ายทหารนั้นเอง และ ๓) ดังนั้น
ศาลทรงจัตุรมุขที่ปรากฏในรูปย่อมต้องอยู่หน้าค่ายทหาร ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ค่ายตากสิน
นั้นเอง
แต่ด้วยความไม่คุ้นตากับศาลหลังเก่า
(ตามรูปในหนังสือ) เอาเสียเลย จึงต้องพยายามค้นดูในอินเตอร์เน็ต แต่ก่อนจะค้นก็ตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นไว้เป็น
๑) ศาลนี้อาจถูกรื้อไปแล้ว
แล้วสร้างเป็นศาลที่มีหลังคาเป็นรูปหมวกหรือพระมาลากลมยอดแหลม
(ต่อไปจะเรียกศาลหลังใหม่) และ ดังนั้น ๒) พระไทยเทวาธิราช ที่สร้างเป็นรูปแทนสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้นก็ควรถูกย้ายมาประดิษฐาน
ณ ศาลหลังใหม่นั้นด้วย
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินหลังใหม่ ภาพจาก เอกสารประกอบการเขียนหมายเลข ๓) |
ภายในศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินหลังใหม่ ภาพจาก เอกสารประกอบการเขียนหมายเลข ๓) |
ข้อสันนิษฐานนั้นตั้งอยู่บนความไม่คุ้นตากับศาลทรงจัตุรมุข
จึงคิดไปว่าคงถูกรื้อทิ้งเสียแล้ว เริ่มแรกจึงลองหาภาพภายในศาลหลังใหม่ดูว่ามีพระรูปที่ควรจะเป็นพระไทยเทวาธิราชบ้างหรือไม่
(ตามข้อสันนิษฐาน ๒) ปรากฏว่าภายในมีเพียงพระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสิน กับรูปปั้นหรือรูปหล่อทหารของพระองค์
และสัตว์อีกบางชนิดที่ชาวบ้านคงนำมาถวายตามความเชื่อ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นไปได้
๒ ทาง คือ ๑) ศาลหลังเก่าไม่ได้ถูกรื้อ กับ ๒)
พระไทยเทวาธิราชถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่น
ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินหลังเก่าอยู่ข้างๆหลังใหม่ ภาพจาก เอกสารประกอบการเขียนหมายเลข ๒) |
ดังนั้น การค้นหาจึงเปลี่ยนเป็นการหาศาลทรงจัตุรมุขแทน
ก็พบประวัติคล้ายที่ปรากฏในบทความของหลวงสาครคชเขต แต่พระไทยเทวาธิราชได้กลายเป็นเทพพระจำพระองค์ของพระเจ้าตากสินไปเสียแล้วนอกจากนี้
ยังไม่ได้บอกว่าศาลหลังเก่าไปไหนอีกต่างหาก
การที่ไม่ได้บอกก็อาจตีความได้ว่าไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงกับศาลนี้กระมัง และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เพราะปรากฏว่าพบรูปศาลทรงจัตุรมุขอยู่ข้างๆศาลที่มีหลังคารูปหมวกนั้นเอง
จึงเป็นอันว่า ศาลหลังเก่าก็ยังอยู่ดีเคียงข้างศาลหลังใหม่นั้นเอง
แต่คนจันทบุรีอย่างผู้เขียนกลับไม่คุ้นกับศาลนี้เลย
อาจเป็นเพราะแต่เกิดมาก็เจอศาลหลังใหม่ (สร้าง พ.ศ.๒๕๓๔) ก็ตั้งตระหง่านอยู่บดบังรัศมีของศาลหลังเก่าไปเสียแล้ว
ก็เป็นอันว่าหายข้องใจกับรูปเจ้าปัญหานี้ (หรือเราเองที่มีปัญหา)
และก็ออกจะดีใจที่ศาลหลังเก่ายังอยู่ ซึ่งก็หมายความว่า จันทบุรีมีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน ๒ แห่ง อยู่ติดๆกัน!!! หวังว่าไม่นานนี้คงได้ไปสำรวจตรวจดูสถานที่จริง
เอกสารประกอบการเขียน
๑) หลวงสาครคชเขต (ประทวน สาคริกานนท์). จดหมายเหตุความทรงจำสมัยฝรั่งเศสยึดจันทบุรี
ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๓๖ ถึง พ.ศ.๒๔๔๗. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ: ศรีปัญญา,
๒๕๕๒.
๒) http://www.tiewchan.com/สถานที่ท่องเที่ยวในเขตเทศบาลเมืองจันทบุรี/ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช.html
๓) http://www.abhakara.com/webboard/index.php?topic=1857.0
[๑]
ฉบับพิมพ์ครั้งนี้แก้จาก
สลัก
[๒]
ฉบับพิมพ์ครั้งนี้แก้จาก
พระทัยเทวาธิราช
[๓]
ฉบับพิมพ์ครั้งนี้แก้จาก
จำนงค์
[๔]
ฉบับพิมพ์ครังนี้แก้จาก
ปราณีต
[๕]
ฉบับพิมพ์ครั้งนี้แก้จาก
สถิตย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น