วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ชำแหละ Episode I

“ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย
เราจงร่วมใจกันยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช
และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย…..”

ก่อนเคารพธงชาติ คุณคุ้นชินกับข้อความเช่นนี้ใช่ไหม?
และขณะที่รับฟังคุณมีความรู้สึกร่วมใช่หรือไม่?

นั่นคือเหตุผลให้บทความนี้เกิดขึ้นเพื่อชำแหละข้อความเหล่านี้ และเตือนสติมิให้หลงไปกับข้อความชาตินิยมเช่นนี้

สิ่งที่ปรากฏในข้อความก่อนเคารพธงชาติที่เห็นเด่นชัด คือ

๑. นิยามของ ๐ความเป็น (คน/ประชาชน) ไทย๐ คือ ชาติ (ไทย) ศาสนา (พุทธ) และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นแนวคิดแบบชาตินิยมรุ่นแรกที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ สร้างขึ้นมา เมื่อมีความเป็นไทยก็ต้องมีความไม่เป็นไทย เช่น ชาติกะเหรี่ยง ชาติพม่า ชาติมอญ ชาติมลายู-มุสลิม ชาติลาว ชาติญวน ชาติจีน ฯลฯ รวมถึงคนเสื้อแดงที่ถูกเหมารวมจากสังคมว่าล้มเจ้า

ความเป็นไทยเช่นนี้ก่อให้เกิดประชาชนชั้นสอง (หรืออาจมากชั้นกว่านั้น) โดยเฉพาะกับคนที่ไม่เป็นไทยตามความเป็นไทยข้างต้น เช่น น้องก้านธูปที่ถูกตัดสิทธิไม่ให้เข้าเรียนในคณะอักษรศาสตร์ ศิลปากร เพราะมีความคิดต่างจาบจ้วงสถาบันอันเป็นที่รักของชาวไทย ทั้งที่การจะเป็นไทยในยุครัฐชาติ คือ เรื่องของสัญชาติ และภักดีต่อรัฐมิใช่ต่อกลุ่มของตน (เช่น กลุ่มเชื้อชาติ กลุ่มศาสนา ฯลฯ) และแน่นอนว่าประชาธิปไตยยอมรับในเรื่องเสรีภาพ เสมอภาค ซึ่งเปิดโอกาสให้เกิดความหลากหลายอย่างเท่าเทียม

ดังนั้น นี่คือการสร้างความขัดแย้ง สร้างกลุ่มย่อย (ที่ไม่ใช่ไทยตามนิยามความเป็นไทย) มากกว่าการสร้างเอกภาพ ด้วยการเก็บกดปิดกั้นอัตลักษณ์ที่หลากหลายด้วย “ความเป็นไทย” แทนที่จะสร้างความยอมรับในความหลากหลาย (ซึ่งรวมถึงทางความคิดด้วย) และในที่สุด ก็จะเกิดการปะทะของกลุ่มย่อย ดังเช่น ความรุนแรงใน ๓-๔ จังหวัดชายแดนใต้นั่นเอง

๒. เราควรภูมิใจในเอกราชอย่างไร? เราควรภูมิใจที่เคยเสียพ่ายแพ้เสียท่าแก่พม่าข้าศึก ๒ ครั้งในประวัติศาสตร์ รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกเพียงชาติเดียวในอุษาคเนย์?

ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ตกอยู่ภายใต้วังวนของประวัติศาสตร์แบบชาตินิยม/ล้าหลัง-คลั่งชาติ ที่เส้นพรมแดนถูกขีดมาตั้งแต่อดีตกาล และมีความเชื่อมโยงจากสุโขทัยจนถึงกรุงเทพฯ คนในเส้นพรมแดนแต่ละยุคคือคนไทย แล้วก็พี่ไทยนี่เองที่เก่งที่สุดในสามโลก ซึ่งมันเหลวไหลทั้งเพ!

เอาเรื่องแรกก่อน คือ กรณีกับพม่าข้าศึก (ตลอดกาลในประวัติศาสตร์?) เรื่องนี้ยาว ต้องย้อนไปอธิบายว่า เส้นพรมแดนของรัฐสยามที่ต่อมาเป็นรัฐไทยเพิ่งถูกลากเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ปฏิรูปการปกครอง (เริ่มใน พ.ศ.๒๔๓๕) รวบ (ริบ) อำนาจเจ้าประเทศราชทั้งหลาย และ (ซ้ำร้าย) ยึดดินแดนของเจ้าประเทศราชเหล่านั้นมาเป็นของตน (และเอาบางส่วนไปแลกกับสิ่งอื่นอันเป็นประโยชน์แก่ตนเอง เช่น แลกหัวเมืองมลายูกับการยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตกับอังกฤษ) นี่คือจุดเริ่มต้นของรัฐชาติไทยในปัจจุบันที่มีเส้นแดนแน่นอน (และจุดเริ่มต้นกลายๆของขบวนการแบ่งแยกดินแดนชายแดนใต้)

และแน่นอน เราต้องรู้ด้วยว่าในอดีต ระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐนั้นเป็นเรื่องของการยอมรับอำนาจ รัฐเล็กยอมรับอำนาจรัฐใหญ่ ซึ่งนั่นก็คือระบบประเทศราชหรือบรรณาการนั่นเอง เรามักรับรู้ว่ารัฐประเทศราชหรือเมืองประเทศราชนั้นก็คือส่วนหนึ่งของรัฐ เพราะประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมวาดแผนที่รัฐสยามแต่ละยุคขึ้นมาแบบแผนที่ปัจจุบันที่มีเขตแดนแน่นอน คำอธิบายที่ควรจะเป็นคือ รัฐประเทศราชนั้นเพียงแต่ยอมรับอำนาจผ่านการส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทอง ผ่านการส่งกำลังคนไปช่วยรัฐที่ตนยอมรับอำนาจ และเช่นเดียวกัน ฝ่ายที่มีอำนาจเหนือกว่าก็มีหน้าที่ให้ความคุ้มครองรัฐที่อำนาจน้อยกว่านั้นด้วย เป็นระบบความสัมพันธ์แบบต่างตอบแทนที่สร้างความพอใจให้แก่ทั้งสองฝ่ายพอสมควร (อย่างน้อยปัตตานีก็พอใจที่จะอยู่ภายใต้ระบบคสามสัมพันธ์นี้มากกว่าถูกผนวกเข้าในรัฐชาติสยาม)

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็คงพอจะเดาได้ว่า ความหมายของคำว่า “เอกราช” ในอดีตและปัจจุบันคงมิได้พ้องกันเป็นแน่ ธงชัย วินิจจะกูล อธิบายว่า เอกราช หรืออิสรภาพ มิได้เพียงหมายถึง การเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ ไม่เป็นสองรองใคร ภาวะไม่อยู่ใต้อำนาจผู้อื่น แต่ยังหมายรวมถึง “การเป็นราชาธิราชเหนือราชาอื่น” คำถามจึงเกิดว่า เราเป็นหรือมีเอกราชต่อพม่าจริงๆหรือ? ลองนึกภาพแผนที่ในปัจจุบันก็ได้ อยุธยาเคยรุกคืบเข้าไปในดินแดนพม่าได้เกินหัวเมืองมอญหรือ? อยุธยาเคยไปปลงพระชนม์กษัตริย์พม่าได้หรือ? แล้วอยุธยาจะมีเอกราชได้อย่างไร? อยุธยาสนใจการค้ามากกว่าที่จะสนใจการเป็นราชาเหนือราชา (แม้แต่พระนเรศวร เมื่อตัดขาดความสัมพันธ์กับพม่า แม้พระเจ้าบุเรงนองจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ก็ไม่ได้ขยายอำนาจไปสู่พม่า) ถ้าจะเป็นราชาเหนือราชาก็เพียงแต่รัฐเล็กๆ มิใช่รัฐใหญ่ที่มีอำนาจในระดับเดียวกันอย่างพม่า เช่น เขมร ล้านนา ปัตตานี ฯลฯ ซึ่งดูแล้วเกี่ยวข้องกับการค้าทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าพม่าต่างหากที่เป็นฝ่ายที่มีเอกราช (หรือพยายามมีเอกราช) ต่อสยาม และก็เป็นได้อย่างน้อยตั้ง ๒ ครั้ง เป็นอันว่า อยุธยา มิได้เป็นเอกราชตามความหมายในยุคจารีต และมิได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าความรุ่งเรืองด้านการค้า ซึ่งสุดท้ายความเจริญทางการค้าที่ทำลายระบบการเมืองและสังคม (โดยเฉพาะระบบควบคุมคน) ก็มีส่วนให้อยุธยาล่มสลายไปในที่สุด

อีกกรณี คือ การไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก ในขณะที่รัฐเล็กรัฐน้อยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่อยๆตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจไปทีละรัฐสองรัฐ นี่เป็นความภูมิใจอย่างสูงสุดของใครหลายคนที่ประเทศของตนสามารถต่อกรกับมหาอำนาจทั้งอังกฤษ และฝรั่งเศสได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ และรักษาเอกราช (ตามความหมายปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับดินแดน และอำนาจอธิปไตยแบบรัฐชาติสมัยใหม่) ไว้ได้ ขณะที่กษัตริย์ของพวกเขาได้รับเครดิตไปอย่างท่วมท้น

แต่เรื่องที่พวกเขาไม่เคยรู้ หรือจงใจปิดหูปิดตาคือ สยาม (แถบลุ่มน้ำเจ้าพระยา) ที่โชคดีอย่างที่สุด เพราะอยู่ตรงกลางของภูมิภาคถูกอังกฤษและฝรั่งเศสตกลงให้เป็นรัฐกันชน (buffer state) จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน และชะตากรรมของสยามก็ไม่ได้ดีเด่ไปกว่าชาติอื่นรัฐอื่น ทั้งโดนขูดรีด เอาเปรียบ (เพียงแต่ระดับก็คงน้อยกว่า) สนธิสัญญาเบาว์ริงที่การเรียนการสอนพยายามกลบๆความขายหน้าด้วยการสรรเสริญว่าเป็นการเริ่มต้นเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของสยามประเทศ ทั้งที่นั่นคือจุดเริ่มต้นของสนธิสัญญาแบบเสียเปรียบของสยามที่นานาประเทศจะประดังประเดเข้ามาทำแบบนี้อีกกว่า ๒๐ ประเทศ การค่อยๆรุกคืบเข้ามาในเขตอิทธิพลของสยาม แม้แต่เมื่อสยามกลายสภาพจากรัฐจารีตเป็นรัฐชาติแล้ว (empire สู่ kingdom) สยามก็ไม่อาจต้านทานอะไรได้ ดูกรณี ร.ศ.๑๑๒ ที่สยามมิได้มีความสามารถจะไปสู้อะไรกับใครได้ และการกลายสภาพจากรัฐจารีตสู่รัฐชาติที่สร้างปัญหาวุ่นวายไม่เฉพาะในภาคใต้ แต่ตามภาคเหนือ-อีสาน ก็มีกบฏผีบุญ/ผู้มีบุญเกิดขึ้นนั้น มิใช่ความจำเป็นและแรงกดดันจากลัทธิล่าอาณานิคมที่กำลังเข้าประชิดสยามหรอกหรือ? เช่นเดียวกับการสร้างความทันสมัยที่ทำให้กษัตริย์สยามพระองค์หนึ่งได้รับการยกย่องจากชาวสยามในปัจจุบันอย่างสูงก็มิใช่เพราะมหาอำนาจที่มาจ่ออยู่หน้าประตูบ้านหรอกหรือ? และนี่คือความน่าภาคภูมิใจในเอกราชของประเทศ (ไม่อยากใช้คำว่าชาติ) ใช่หรือไม่? เชิญตัดสินด้วนตัวท่านเอง

ความจริงยังมีอีกกรณีหนึ่ง คือ กรณีญี่ปุ่นช่วงสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ซึ่งเคยถูกอธิบายว่าเป็นมิตรประเทศที่มีความเท่าเทียมกัน แต่แท้จริงแล้วต่างกัน และไทยก็ราวกับลูกไก่ในกำมือญี่ปุ่น ญี่ปุ่นคือนาย และไทยต้องยอมญี่ปุ่นไปเสียทุกอย่าง นี่คือความสัมพันธ์ตามความเป็นจริง แต่นิยายเรื่องคู่กรรมคงสร้างความตรึงใจจนคนไทยอาจจะสับสนและทำเป็นลืมมันไปเสีย ทั้งที่นี่คือหน้าประวัติศาสตร์ที่อาจเรียกได้ว่าไทยเสียเอกราช (ตามความหมายปัจจุบัน)

๓. ความเสียสละของบรรพบุรุษไทยที่เราควรภูมิใจคือใคร? คนอย่างเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์จะเป็นความภาคภูมิใจของราชสำนักสยามหรือไม่? ตนกูอับดุล กาเดร์ สุลต่านองค์สุดท้ายของปัตตานีเป็นวีรบุรุษของคนไทยทุกคนหรือไม่? ชาวบ้านบางระจันมีบุญคุณอะไรต่อสงขลาหรือเปล่า? ฯลฯ คำถามพวกนี้อธิบายคำถามแรกได้เป็นอย่างดี

บรรพบุรุษของคนในรัฐไทยปัจจุบันเคยต่อสู้ แย่งชิง หรือแม้แต่ฆ่าฟันกัน นี่คือความจริงที่อาจเลวร้ายสำคัญบางคนที่มองประวัติศาสตร์ตามแบบชาตินิยม คือ คนไทยฆ่ากัน คนไทยแตกสามัคคี แต่อย่างที่อธิบายไปเมื่อข้อที่แล้ว รัฐไทยที่มีเขตแดนชัดเจนเพิ่งเกิดเมื่อไม่นานมานี้ (ประมาณ ๑๐๐ กว่าปีเท่านั้น) ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์กลาง (ขอนับแค่ อยุธยา-กรุงเทพฯ ไม่ขอนับสุโขทัย เพราะสุโขทัย-อยุธยา ดูเป็นศัตรูกันกว่าจะมีความต่อเนื่องกัน ความต่อเนื่องของอยุธยาควรมาจากรัฐเล็กรัฐน้อย เช่น สุพรรณบุรี ละโว้ เสียมากกว่า) กับรัฐประเทศราชยังคงเป็นแบบจารีต แน่นอนว่ารัฐเล็กย่อมต้องยอมรับอำนาจรัฐใหญ่ แต่เมื่อรัฐใหญ่อำนาจอ่อนลง แผ่อำนาจไปไม่ถึงรัฐเล็ก รัฐที่อำนาจด้อยกว่านั้นก็พร้อมจะหลุดออกจากระบบความสัมพันธ์กับรัฐใหญ่ (ดูช่วงเสียกรุงครั้งที่ ๒ ซึ่งบ้านเมืองมีก๊กเต็มไปหมด ซึ่งจริงๆก็คืออำนาจของท้องถิ่นต่างๆที่หลุดออกจากระบบความสัมพันธ์) ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาของรัฐในอดีตที่ปัจจุบันอยู่ในเขตแดนของรัฐไทยที่จะต่อสู้ ฆ่าฟันกัน

บางคนบอกว่า ก็พระนเรศวรไง ผมไม่รู้ว่าท่านเคยไปรบรากับใครที่ไหนบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่คนไทยพยายามลืม หรือถูกพยายามทำให้ลืม คือ พระราชบิดาของท่าน อันได้แก่พระมหาธรรมราชา ก็คือผู้ที่ช่วยพม่าเอาชนะอยุธยา (อโยธยา) ในคราวเสียกรุง ครั้งแรก ฟังดูอาจไม่เข้าท่า ตีวัวกระทบคราด ตีพ่อกระทบลูก เอาอย่างนี้แล้วกัน พระนเรศวรเคยไปทำอะไรให้ปัตตานีหรือไม่? เคยไปทำอะไรให้ภาคอีสานหรือไม่? เท่านี้ก็คงพอนึกภาพออกว่า แต่ละที่ก็มีบรรพบุรุษของตนเอง แต่สิ่งที่ประวัติศาสตร์แบบชาตินิยมสื่อออกมานั้นผ่านทฤษฎีที่ธงชัย วินิจจะกูล (ไม่รู้คนอื่นเรียกก่อนหรือไม่) เรียกว่า “ทฤษฎีมหาบุรุษ” คือ การยกกษัตริย์ หรือบุคคลของส่วนกลางที่เก่งกล้า มีผลงานโดดเด่นขึ้นมาเป็นวีรบุรุษแห่งชาติ เช่น พระนเรศวร ชาวบ้านบางระจัน เป็นต้น กล่าวคือ ประวัติศาสตร์แนวนี้เน้นศูนย์กลาง วีรบุรุษเหล่านี้จึงเป็นเพียงวีรบุรุษของส่วนกลางเท่านั้น และอาจมีความพยายามกลบวีรบุรุษของพื้นที่อื่นๆด้วย แล้วทีนี้ บรรพบุรุษไทยที่ควรภูมิใจอยู่ที่ไหน? ตอบง่ายๆว่า มันไม่มี ..

ขอทิ้งท้ายบทความด้วยคำกล่าวของ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ เป็นกรอบเล็กๆในมติชนสุดสัปดาห์เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่ปัญหาชายแดนใต้กำลังรุนแรงยุคทักษิณ

การแก้ไขปัญหาความรุนแรง โดยเฉพาะการลดความเกลียดชังในสังคมไทยจะเป็นไปได้ก็ต่อเมี่อ สังคมไทยตระหนักว่าความแตกต่างในสังคมซึ่งประกอบด้วยผู้คนหลากหลายที่ตระหนักรับรู้ความจริงแตกต่างกันมิใช่ปัญหา แต่เป็นพลังสร้างสรรค์ที่จะนำพาสังคมไปสู่สันติธรรมได้”

หยุดชาตินิยมไร้สาระ ที่พาลแต่จะนำความแตกแยก ร้าวฉานมาสู่สังคมและเพื่อนบ้าน แล้วก้าวข้ามมันสู่สังคมแห่งความหลากหลายที่สร้างสรรค์ ปรองดองทั้งในและระหว่างประเทศ!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น