หลายคนโดยเฉพาะนักศึกษาประวัติศาสตร์และผู้สนใจประวัติศาสตร์คงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ที่เกี่ยวข้องกับศักราชมาบ้าง
เช่น ตัด ลบ ตั้ง (ศักราช) คำอธิบายอย่างง่ายๆสำหรับคำเหล่านี้อาจกล่าวโดยเชื่อมโยงกันได้ คือ "ตัด" และ "ลบ" ศักราชนั้น มีความหมายเดียวกัน คือ หยุดใช้ศักราชที่ใช้อยู่ หรือแก้ไขศักราชที่ใช้อยู่ให้ต่างๆไปจากเดิม แต่ส่วนใหญ่ (ซึ่งมีในประวัติศาสตร์ไม่กี่ครั้ง) จะหยุดใช้ศักราชเดิมแล้ว "ตั้ง" ศักราชใหม่ขึ้นมา การตัดศักราชนั้นเกิดจาก ๒ สาเหตุใหญ่ คือ ๑. กษัตริย์ในบางประเทศ โดยเฉพาะอินเดียและจีน ทรงตัดศักราชเก่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรัชศกก่อนหน้า คือ ศักราชประจำรัชกาลก่อน เช่น เมื่อจักรพรรดิหย่งเล่อขึ้นครองราชย์ ก็จะตัดศักราชของจักรพรรดิพระองค์ก่อน แล้วเริ่มใช้ศักราชเป็น ปีที่ ๑ แห่งรัชศกหย่งเล่อ เป็นต้น ซึ่งศักราชที่ตั้งใหม่ในปีเริ่มครองราชย์ของกษัตริย์พระองค์นั้นๆ หากศักราชของพระองค์ถูกใช้อย่างแพร่หลายก็จะถูกใช้สืบๆกันมา เช่น จุลศักราช มหาศักราช เป็นต้น ๒. ความเชื่อทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะความเชื่อเรื่อง "ปัญจอันตราธาน" ที่ความเสื่อมจะมาเยือนมากขึ้นเรื่อยๆทุก ๑,๐๐๐ ปี ดังนั้น เมื่อศักราชเข้าใกล้จำนวนเต็มพัน เช่น ๑,๐๐๐ ๒,๐๐๐ ... ๕,๐๐๐ ใกล้เข้ามา กษัตริย์ที่ครองราชย์อยู่ก็จะแก้ปัญหาด้วยการตัดศักราช คือ เลิกใช้ศักราชนั้นเสียแล้วอาจนำศักราชอื่นมาใช้แทน แต่มักไม่ตั้งศักราชใหม่ในกรณีนี้ หรือบางครั้งอาจแก้ไขบางส่วนเกี่ยวกับระบบปฏิทิน (ดูในส่วน วิเคราะห์กรณีสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง)
ในประวัติศาสตร์ไทย กรณีของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง
(ครองราชย์ พ.ศ.๒๑๗๒-๒๑๙๙) มีการระบุไว้ในพระราชพงศาวดารอย่างชัดเจน และยังมีวรรณกรรมสรรเสริญพระองค์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย
ข้อความในพระราชพงศาวดารที่กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าปราสาททองตัดศักราช เช่น ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา
ระบุว่า
“ลุศักราช ๑๐๐๐ ปีขาล สัมฤทธิศก
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสปรึกษาแก่เสนาพฤฒามาตย์ราชปุโรหิตทั้งหลายว่า
บัดนี้จุลศักราชถ้วน ๑๐๐๐ ปี กาลกลียุค
จะบังเกิดไปภายหน้าทั่วประเทศธานีใหญ่น้อยเป็นอันมาก เราคิดว่า
จะเสี่ยงบารมีลบศักราช บัดนี้ ขาลสัมฤทธิศก จะเอากุนเป็นสัมฤทธิศก
ให้กรุงประเทศธานีนิคม ชนบททั้งปวงเป็นสุขไพศาลสมบูรณ์ดุจทวาบรยุค”
จะเห็นได้ว่า กรณีสมเด็จพระเจ้าปราสาททองตัดศักราชนั้น น่าจะเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาเรื่อง "ปัญจอันตราธาน" เพราะทรงตัดศักราชในปีที่จุลศักราชครบถ้วนพัน
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องในพระราชพงศาวดารที่แสดงว่าพระองค์น่าจะตั้งศักราชใหม่จริง
คือ สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงแจ้งให้พระเจ้ากรุงอังวะทราบและใช้ศักราชที่ตั้งใหม่ด้วย
แต่ในจุลศักราช ๑๐๐๒ พม่าได้ส่งทูตมาแจ้งว่าไม่ยินดีใช้
ให้ทางกรุงศรีอยุธยาใช้ไปฝ่ายเดียว จนสมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่พอพระทัย
อีกกรณีหนึ่งที่ว่ากันว่าพระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงตัดศักราช
คือ พระมหาธรรมราชาที่ ๑ หรือพระยาลือไท แห่งแคว้นสุโขทัย (ครองราชย์ประมาณ
พ.ศ.๑๘๙๐-๑๙๑๑) ที่มาของความเชื่อว่าพระองค์ตัดศักราชมีหลายทาง
ที่มาแรก มีตำนานเรื่องหนึ่งในหนังสือ “พงศาวดารเหนือ”
เล่าถึงพระร่วงอรุณราชกุมารได้เรียกชุมนุมท้าวพระยามหากษัตริย์ของแคว้นต่างๆเพื่อตั้งศักราชใหม่
ที่มาที่สอง คัมภีร์ “ไตรภูมิพระร่วง” หรือ “ไตรภูมิกถา” มีข้อความในปัจฉิมวากษ์ระบุศักราช ๒๓
ซึ่งเป็นไปได้ว่ามีการตั้งศักราชใหม่ ดังนี้
“แต่นี้ใส่ไตรภูมิกถาเมื่อใดไส้ ปีรกาสักราชได้ ๒๓ ได้ในเดือน ๑๐
เพ็ง วันพฤหัสบดีมฤคเลียรนักษัตร พระญาลิทัยผู้เป็นหลานปู่
พระญาลิทัยผู้เสวยราชในเมืองศรีสัชชนาลัยแลสุกโขทัย
ผู้เป็นหลานแก่พระญารามราชอันเป็นสุริยพงษ
เพื่อได้กินเมืองศรีสัชชนาลัยอยู่ได้หกเข้า…”
ที่มาที่สาม คือ หนังสือ “นางนพมาศ” หรือ “ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์”
เนื้อหานั้น นางนพมาศซึ่งเป็นสนมของพระร่วงเจ้าได้เล่าประวัติของตนเอง
(อัตชีวประวัติ) ตั้งแต่ก่อนพระร่วงจะตั้งศักราชเล็กน้อยและไปจบในปีที่ ๑๘
ของศักราชที่ตั้งใหม่
และที่มาสุดท้าย คือ เนื้อความใน “จารึกหลักที่ ๔
วัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร” โดยเฉพาะด้านที่ ๒ ซึ่งอรรถาธิบายความรู้ความสามารถของพระยาลือไทเกี่ยวกับการคำนวณปฏิทินไว้ว่าพระองค์ทรง
“พระปรีชาโอฬาริก ฝ่ายวันสิ้นเดือน ๔ ที่ควรมา..หลังศักราชมีอธิกมาส
พระองค์ก็ทรงแก้ไขให้สะดวก ทรงตรวจสอบแล้วอาจรู้ปีที่เป็นปรกติมาสและอธิกมาส
วันวารนักษัตรโดยสังเขปและโดยปฏิทินสำเร็จรูป สมเด็จบพิตรอาจถอน อาจลบ อาจเพิ่ม”
บทวิเคราะห์: สมเด็จพระเจ้าปราสาททองตัดศักราชเก่าตั้งใหม่จริงหรือ?
ในกรณีของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองนั้น
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร
ได้ศึกษาโดยอาศัยจารึกวัดไชยวัฒนารามและหลักฐานดัทช์ร่วมสมัย สำหรับเอกสารดัทช์
คือ บันทึกของเจ้าหน้าที่ของบริษัทเนเธอร์แลนด์อีสต์อินเดีย (VOC) ได้บันทึกเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ เมษายน ค.ศ.๑๖๓๙ ว่า
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงฉลองการลบศักราชในวันขึ้นปีใหม่ไทยเป็นเวลาสามวัน
และฉลองในวันกลางเดือนเมษายนอีก ๓ วัน ซึ่งจากข้อมูลนี้ทำให้ ดร.ประเสริฐ สอบได้ว่าวันขึ้นปีใหม่ไทยตรงกับ “เดือน ๕ ขึ้นค่ำหนึ่ง”
และจากข้อมูลนี้จึงสามารถนำไปสู่การคำนวณวันตัดศักราชใน ค.ศ.๑๖๓๘ ได้ โดยการหาวันขึ้นปีใหม่ของปีดังกล่าว
ซึ่งได้ว่าเป็น “วันจันทร์ที่ ๑๕ มีนาคม” ซึ่งยังเป็นจุลศักราช ๙๙๙ อยู่
ก่อนจะถึงวันเถลิงศกจุลศักราช ๑๐๐๐ ในวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๖ วัน
ส่วนจารึกแผ่นทองแดงวัดไชยวัฒนารามระบุเวลาไว้ตอนท้ายว่า
“ศุภมัสดุ พุทธศักราช ๒๑๙๒ มหาศักราช (๑)๕๓๒ วันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๑๕ ค่ำ (ปี)จอ
โทศก แรกสถาปนา”
ทำให้ทราบว่ามีการแก้ไขปีนักษัตรตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร “บัดนี้ ขาลสัมฤทธิศก
จะเอากุนเป็นสัมฤทธิศก” คือ แก้ให้ปีนักษัตรย้อนหลังไป ๓ ปีจาก ขาล เป็น กุน (กุน
ชวด ฉลู ขาล) จริง โดยเวลาที่ระบุในจารึกวัดไชยวัฒนารามนั้นควรเป็นปีนักษัตรฉลู
แต่กลับระบุว่าเป็นปีจอ (จอ กุน ชวด ฉลู) ย้อนหลังไป ๓ ปีนักษัตรเช่นกัน ดังนั้น
ดร.ประเสริฐ จึงสรุปว่า
สมเด็จพระเจ้าปราสาททองไม่ได้ตัดหรือลบจุลศักราช แต่ได้เปลี่ยนปีนักษัตรถอยหลังไป
๓ ปีนักษัตร ส่วน ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร เสริมว่า พระองค์ได้ทรงหันไปใช้ระบบศักราชแบบเขมร คือ
มหาศักราช
(ดังปรากฏในจารึกวัดไชยวัฒนาราม) ซึ่งมีความเป็นไปได้
เพราะน่าสังเกตว่าในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงนำสิ่งต่างๆที่เป็นรูปแบบเขมรกลับมาใช้อีกครั้ง
เช่น การสร้างพระปรางค์ การสร้างปราสาทนครหลวง การสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่อง เป็นต้น
ส่วนข้อมูลเรื่องการส่งทูตให้พม่าใช้ศักราชที่ตั้งใหม่แต่พม่าปฏิเสธนั้น
ดร.วินัย ได้อธิบายว่า
เป็นเรื่องเข้าใจผิดของผู้แต่งพระราชพงศาวดารใช้สมัยหลัง
เพราะความจริงแล้วเหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับ “กบฏเจ้าท่าทราย”
ซึ่งกลุ่มที่สนับสนุนเจ้าอาทิตย์ก่อการกบฏเข้ายึดพระราชวังหลวงได้ ๑ คืน
ก่อนถูกปราบได้ โดยผู้ก่อการบางคนได้หนีไปยังราชสำนักพม่า
พม่าจึงต้องส่งทูตมาชี้แจงว่าไม่ได้อยู่เบื้องหลัง
แต่เนื่องจากเหตุการณ์การส่งทูตมาชี้แจงนี้เกิดขึ้นใกล้จุลศักราช ๑๐๐๐
และพระราชพงศาวดารที่บันทึกไว้คงบันทึกแบบย่อๆ จึงเกิดการเสริมความเข้ากับเรื่องตัดศักราชตามจินตนาการในภายหลัง
โดยสรุปแล้ว
การตัดศักราชของสมเด็จพระเจ้าปราสาทคงเกิดขึ้นจริง
แต่เป็นในลักษณะยกเลิกศักราชเก่า คือ จุลศักราชที่กำลังจะครบ ๑๐๐๐ ปี
ซึ่งเป็นเรื่องไม่เป็นมงคลตามความเชื่อทางศาสนา ไปใช้มหาศักราชซึ่งเป็นศักราชที่รับมาจากเขมรแทน
นอกจากนี้ ยังถอยปีนักษัตรไป ๓ ปีนักษัตร ตามที่ปรากฏในพระราชพงศาวดาร
แต่ไม่ได้ทรงตั้งศักราชใหม่แต่อย่างใด ซึ่งเป็นกรณีที่แปลกมาก และน่าศึกษาถึงเหตุผลเบื้องหลังมากขึ้นกว่านี้
บทวิเคราะห์: พระยาลือไทตัดศักราชเก่าตั้งใหม่จริงหรือ?
ส่วนกรณีพระยาลือไทนั้น
ตามการวิเคราะห์ของ ดร.วินัย พงศ์ศรีเพียร ที่มาทั้งสี่ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นเป็นเรื่องฟั่นเฝือเชื่อไม่ได้เสีย
๓ เรื่อง แต่ได้รับการเสริมความน่าเชื่อถือจากเนื้อความในจารึกที่เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์
โดยจะกล่าวไปทีละเรื่อง ดังนี้
เรื่องแรก ตำนานพระร่วงตัดศักราชใน พงศาวดารเหนือ
นั้นมีเค้าโครงเดียวกับเรื่องที่พบในเอกสารล้านนาทั่วไป คือ เรื่องพระเจ้าอนิรุทธมหาราช
(กษัตริย์พุกาม ครองราชย์ ค.ศ.๑๐๔๔-๑๐๗๗)
เรียกชุมนุมเจ้าผู้ปกครองประเทศต่างๆเพื่อตั้งศักราชใหม่ (จุลศักราช) ซึ่งเป็นไปไม่ได้
เพราะจุลศักราชเริ่มต้นก่อนเวลาตั้งอาณาจักรพุกาม แต่น่าจะเป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อแสดงความเกี่ยวข้องของจุลศักราชกับอาณาจักรพุกาม
ซึ่งอาจเป็นเพราะล้านนาได้รับเอาการใช้จุลศักราชมาจากพุกามก็เป็นได้
ส่วน "ศักราช ๒๓" ที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วงนั้น ก็ไม่ใช่ศักราชที่พระยาลือไทตั้งขึ้นใหม่
เพราะไตรภูมิพระร่วงนั้นเป็นพระราชนิพนธ์ของพระยาลือไทขณะยังครองเมืองศรีสัชนาลัยอยู่
(ประมาณ พ.ศ.๑๘๘๓-๑๘๙๐) ขณะที่เรื่อง
นางนพมาศ ก็เป็นเรื่องที่เพิ่งแต่งเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ นี้เอง และแม้แต่จารึกวัดป่ามะม่วงที่พรรณนาพระอัจฉริยภาพของพระยาลือไทด้านการคำนวณปฏิทินมากมาย
แต่ก็ไม่มีเนื้อความใดกล่าวว่าพระองค์ได้ทรงตัดศักราชเลย
ดังนั้น
จึงสรุปได้ว่า พระยาลือไทไม่ได้ทรงตัดหรือลบศักราชแต่อย่างใด
รวมทั้งไม่ได้ทรงตั้งศักราชใหม่ด้วย หากแต่เป็นที่ยอมรับว่า
พระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในการคำนวณปฏิทินได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์เดียวที่ทรงตั้งศักราชใหม่
จากที่ได้กล่าวไป
จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องของพระมหากษัตริย์ไทยสมัยโบราณทั้งสิ้น
และคนในปัจจุบันคงนึกภาพการตัดและตั้งศักราชเฉพาะแต่เรื่องในอดีตที่ย้อนไปไกลเช่นนี้เท่านั้น
หากแต่พระมหากษัตริย์ที่ทรงตัดและตั้งศักราชเพียงพระองค์เดียวกลับเป็นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีนี้เอง
คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕
ศักราชที่พระองค์ตั้งใหม่นั้น
คือ “รัตนโกสินทร์ศก” เขียนย่อว่า “ร, ศก” โดยก่อนหน้านี้
ไทยใช้จุลศักราชมาแทบตลอดสมัยอยุธยาตอนปลายและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ การตั้งรัตนโกสินทร์ศกนี้
เป็นไปเพื่อทั้งปฏิรูประบบปฏิทินของไทยซึ่งต้องติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น
และรำลึกถึงการตั้งกรุงรัตนโกสินทร์และตั้งราชวงศ์จักรี ใน พ.ศ.๒๓๒๕
|
พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้ทรงตั้ง "รัตนโกสินทร์ศก" และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ที่ได้ยกเลิกศักราชดังกล่าว แล้วประกาศให้ใช้ "พุทธศักราช" แทน
ภาพจาก http://rb-old.blogspot.com/2011/01/2.html |
ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกและพระองค์เดียวที่ได้ตัดศักราชเก่า
(จุลศักราช) แล้วตั้งศักราชใหม่ (รัตนโกสินทร์ศก) อย่างแท้จริง โดยการออกประกาศที่ชื่อว่า
“ประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่” เมื่อจุลศักราช ๑๒๕๐ ปีชวดสัมฤทธิศก วันพฤหัสบดี แรม
๑๒ ค่ำ เดือน ๔ ตรงกับ ๒๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๓๒
ก่อนที่ในรัชกาลต่อมาจะมีการปฏิรูประบบปฏิทินไทยอีกครั้ง รวมทั้งการยกเลิกรัตนโกสินทร์ศกที่เพิ่งตั้งนี้ด้วย
แล้วหันไปใช้พุทธศักราชเป็นศักราชประจำชาติแทน ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน